Case Study

Tipic : compound hyperopic astigmatism w/ normal binocular vision

By dr.loft , O.D.

Public 26 พฤษภาคม 2564

 

Case History

คนไข้หญิง อายุ 42 ปี มาด้วยอาการ

รำคาญแว่นที่ใช้งานอยู่ซึ่งเป็นโปรเกรสซีฟ ตัวที่ใช้อยู่ปัจจุบันเป็นตัวที่ 3 ในรอบ 1 ปี ตัวล่าสุดทำมา 6 เดือน ใส่แล้วปวดตา ปวดลูกตา ปวดต้นคอ ภาพวูบวาบ ใช้งานยาก บางวันก็ชัด บางวันก็ไม่ชัด นอนอิ่มก็ชัดนานหน่อย นอนน้อยก็ไม่ค่อยชัดต้องเพ่ง เป็นทุกวัน  ไม่ใส่แว่นพออยู่ได้แต่ก็ไม่ชัดทั้งไกลและใกล้ ใช้สายตาทำงานหน้าคอมพิวเตอร์วันละมากกว่า 10 ชม. จึงต้องการแก้ไขปัญหาและเข้ามาตรวจ

 

เคยรับการตรวจตากับจักษุแพทย์เมื่อ 2 เดือนก่อน ไม่พบรอยโรคใดๆ

 

สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีประวัติโรค อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับดวงตา

 

Preliminary eye exam

PD 30/29

VAcc w/ Habitual Rx (PALs)

OD +0.75  ,Add +1.50  OD 20/30

OS +0.75  ,Add +1.50  OS 20/25

Cover Test : Ortho /Ortho’

 

Refraction

Retinoscopy

OD +2.50 -0.75 x 95 ,VA20/25+2

OS +2.50 -0.75 x 95 ,VA20/25+2

 

Monocular Subjective

OD +2.25 -1.37 x 95 ,VA20/20

OS +2.50 -1.37 x 97 ,VA20/20

 

Best Correction Visual Acuity ,BCVA

OD +2.25 -1.50 x 95 ,VA20/20

OS +2.12 -1.50 x 97 ,VA20/20

 

BCVA ( fine tuning on trial frame )

OD +2.25 -1.50 x 92 ,VA20/20

OS +2.12 -1.62 x 97 ,VA20/20

 

Visual Function : accommodation / Vergence  function

Horizontal Phoria : 1 BI ,exophoria (norm)

BI-reserve           : x /8 /2

Vertical Phoria     : Ortho

 

Visual Function at Near 40 cm

BCC          : +1.75D

NRA/PRA   :+/-1.00

Hor.phoria : 2 BI

 

Assessment

1.compound hyperopic astigmatism OD and OS

2.normal binocular vision

3.accommodative insufficiency ,presbyopia

 

Plan

1.Full Rx

OD +2.25 -1.50 x 92

OS +2.12 -1.62 x 97

2.Progressive lens Rx  : Add +1.50D  ,Rodenstock Impression FreeSign3 CMIQ 2 Gray w/ Solitaire protect plus 2  extra clean

 

Case Analysis

 

1.Refractive Error : compound hyperopic astigmatism

ผลที่ได้จากการตรวจนั้น สาเหตุสำคัญที่นำคนไข้มาด้วยอาการดังกล่าวคือปัญหาสายตาชนิดสายตายาวมาแต่กำเนิดร่วมกับสายตาเอียงชนิดที่โฟกัสของสายตาทั้งคู่นั้นตกหลังจุดรับภาพภาพทั้งคู่คล้ายกันทั้งสองตา (compound hyperopic astigmatism)  ศึกษาสายตาเอียงเพิ่มเติมได้จากลิ้ง https://www.loftoptometry.com/สายตาเอียงและแนวทางการแก้ไข

 

ดังนั้นสิ่งที่จะต้องระวังในการตรวจหา full correction ในคนไข้ประเภทนี้คือต้องบังคับให้ตานั้นคลายระบบเพ่งให้ได้มากที่สุด ตั้งแต่การเตรียมตัวมาในการตรวจ

 

สำหรับคนไข้

ถ้าเป็นคนที่ชอบเครื่องดื่มแอลกอฮลล์ต้องงดอย่างน้อย 2 วัน นอนหลับพักผ่อนให้มากพอให้ได้ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ งดกิจกรรมที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือจอมือถือก่อนเข้ารับการตรวจเป็นเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง

 

ดังนั้นมีวิธีเดียวคือ ตรวจช่วงเช้าที่สุดเท่าที่จะเช้าได้ก่อนที่จะต้องทำกิจกรรมใดๆที่เกี่ยวข้องกับหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ยิ่งบ่ายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งคลายการเพ่งของเลนส์แก้วตาได้ยากเท่านั้น เวลาหลังบ่ายสามไปแล้วหรือหลังทำงานหน้าจอมาทั้งวันไม่ควรตรวจ เพราะตรวจไปก็ได้ค่าที่ใช้ไม่ได้ (สำหรับการทำงานมาตรฐานของผมนะ แต่สาย business + compromise นั้นเขาจะตรวจกี่โมงก็ได้ เพราะ goal คนละอย่าง ) 

 

เวลาการทำงานในคลินิกทัศนมาตรที่เหมาะสมจึงควรเป็นคลินิกเช้าและเลิกตรวจเร็ว 8:00-15:00 กำลังดี เพราะงานทัศนมาตรเป็นงานเรื่องฟังก์ชั่นถ้าระบบมันล้าฟังก์ชั่นมันก็ใช้ไม่ได้ ส่วนช่วงเย็นควรเป็นเรื่อง service อื่นๆเช่น นัดรับแว่น ดัดแว่น เปลี่ยนอะไหล่แว่น มากกว่าการตรวจวัดสายตา ส่วนกลางค่ำกลางคืนดึกดื่นเป็นเวลาอโคจรเหมาะกับการพักผ่อนมากกว่าทำอย่างอื่น โดย common sensse แล้วทุกคนรู้ว่าไม่ควรทำ ยกเว้นแผนก ER ซึ่งเป็นเคสที่คอขาดบาดตายจึงพักไม่ได้ แต่แว่นสายตาผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่รอกันได้ แว่นตาไม่ได้ใช้วันสองวัน แต่ใช้กันหลายปี  ถ้าจ่ายเลนส์ผิดมันจะเกิดปัญหามากมายต่อไปต่อคนไข้และบางครั้งที่เห็นเขาใส่ได้เขาอาจจะทนจนปรับตัวกับค่าที่ผิดๆจนชินก็ได้  ซึ่งผลเสียระยะยาวนั้นหนักยิ่งกว่า เสียอย่างไรบ้างผมได้แนบล้ิงเรื่อง อันตรายจากการใช้ค่าสายตาที่ผิด มาให้อ่านกัน https://www.loftoptometry.com/อันตราย ! ! ! ที่เกิดจากการใช้แว่นที่ค่าสายตาผิด 

 

สำหรับคลินิกทัศนมาตร

 

ในการคลายการเพ่งสำคัญที่สุดก็คือระยะในการตรวจที่ได้ระยะ 6 เมตร ถ้าใกล้กว่านั้นจะทำให้เกิดการกระตุ้นระบบ convergence และ accommodation (ผ่านระบบ accommodative convergence ,AC) ทำให้ค่าสายตาที่ตรวจได้นั้นอาจให้ค่าที่ไม่ดีหรือจะตรวจฟังก์ชั่นไปก็ใช้ไม่ได้เพราะตำแหน่งตาไม่ได้อยู่ในลักษณะของ primary gaze คือมองตรงไปในระยะไกล

 

เมื่อได้ห้องตรวจที่ได้มาตรฐาน 6 เมตรแล้วจึงจะสามารถเค้นสายตา full correction ออกมาได้  อีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าห้องไม่ได้ 6 เมตรก็อย่าพึ่งคุยเรื่อง full correction หรือ binocular function เพราะจะนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการกระทำจากความเข้าใจผิดจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อคนไข้ ตัวอย่างเช่น refractive error ทำให้เกิดการ induce binocular disfunction ได้ ถ้าไปเข้าใจว่าค่า induced ดังกล่าวเป็นค่าความผิดปกติของสองตาจริงของคนไข้แล้วไปจ่ายปริซึมนี่มันจะยุ่งไปกันใหญ่ หรือ ถ้ายังจัดสายตาอยู่ เช่นปัดสายตาให้มันมีค่าเท่าๆกันสองตา แล้ว accommodation จะทำงานอย่างไร แล้วจะคุยเรื่อง binocular function ได้อย่างไร  

 

ดังนั้นถ้ามีเคสที่ต้องการแก้ด้วยการจ่ายปริซึมได้จะต้องเกิดขึ้นหลังจากการหา full correction ที่ได้จากการตรวจในห้องที่ได้มาตรฐาน 6 เมตร ค่า binocular vision จึงจะให้ค่าที่ออกมาได้ถูกต้อง โดยผู้ตรวจจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการทำงานร่วมกันของสองตาได้ดี  ถ้าเงื่อนไขไม่ได้ครบองค์ ก็อย่าไปยุ่งกับปริซึม ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์หลายๆท่านจึงไม่อยากให้ไปยุ่งกับปริซึม เพราะท่านทั้งหลายยังไม่มั่นใจใน correction ของนักเรียน และเขาคงไม่มีเวลามาอธิบายว่าทำไม 

 

แต่ถ้าเราทำได้ดีแล้ว เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่อง “เขียนเสือให้วัวกลัวทันที” ถ้าเรายังเป็นวัวก็กลัวต่อไปไม่ผิดอะไร  แต่ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่ใช่วัวแล้วยังกลัวเสือกระดาษ อันนี้เกิดจากการถูกสะกดจิตให้กลัวให้ตั้งสติให้ไวแล้วรีบออกมาจากสภาวะวัว เราจะได้ไม่ต้องกลัว  เพราะบางสิ่งบางอย่างก็ต้องเขียนให้กลัวเช่นพ่อแม่บอกเราให้กลัวผีในความมืด เพราะแท้จริงแล้วท่านกลัวว่าเราจะไปเจออุบัติเหตุในที่มืด แต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ก็ต้องหลอกว่ามันมีผี ซึ่งถ้าให้ถูกต้องพ่อแม่ควรเปิดไฟให้สว่างและเตรียมห้องให้ปลอดภัยมากกว่าสอนให้ลูกกลัว ครูบาอาจารย์ก็เช่นกัน ควรให้แสงสว่างทางปัญญามากกว่าการสอนให้กลัวความมืด เรื่องนี้เป็นส่ิงสำคัญ​ต่อการพัฒนาการของศิษย์ซึ่งจะเป็นเสาหลักของวิชาชีพในอนาคต

 

กลับมาที่เคส

ปัญหาสำคัญของเคสนี้หลักๆคือ “ค่าสายตาของแว่นทั้งหลายที่คนไข้ไปทำมามันไม่ถูกต้อง” พอค่าที่ตรวจวัดได้มันไม่ถูกต้อง เวลาสั่งเลนส์มันก็ไม่ถูกต้อง โครงสร้างที่ออกแบบมาจำเพาะบุคคลมันก็ไม่ถูกต้องและมันจะถูกต้องได้อย่างไรถ้าค่าที่ส่งไปมันไม่ถูกต้อง แล้วพอ input ไม่ถูก output จะได้ได้อย่างไร ผลก็คือใส่ไม่ได้ เรื่องจริงๆมีอยู่แค่นี้ ไม่มีเวทย์มนต์อะไรเลย 

 

binocular function

 

ในเรื่อง binocular function ของคนไข้นั้น หลังจาก correction ออกมาแล้ว ให้ค่าออกมาที่ดูดี  มีเหล่ออกซ่อนเร้นเล็กน้อยทั้งไกลและใกล้ซึ่งก็ปกติดี  โดยรวมแล้วถือว่าดี

 

แต่จะมีเล็กน้อยก็คือ ค่า Binocular Cross Cylinder หรือค่า BCC หรือค่า Addition ซึ่งให้ค่าออกมาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอายุปัจจุบันคือ 42 ปี ซึ่งถ้าค่า norm นั้นควรจะอยู่ที่ +1.00 ถึง + 1.25 แต่คนไข้นั้นมีค่า BCC +1.75D ซึ่งแสดงถึงค่าความล้าของกำลังเพ่งของคนไข้ที่ล้ามากกว่าค่าเฉลี่ยของอายุ เชื่อว่าล้าต่อเนื่องจากแว่น under plus ที่คนไข้ใช้งานอยู่  ดังนั้นส่วนตัวผมเชื่อว่า accommodative dysfunciton นี้เป็นความผิดปกติชั่วคราว ไม่ได้อยู่ยาวนานอะไร ซึ่งน่าจะถูก induce จาก refractive error ที่ยังไม่ได้ corrected และถ้าจ่าย full correction ไป ค่าต่างๆจะกลับมาทำงานปรกติ ซึ่งในเคสนี้ผมเลือกจ่ายที่ ADD +1.50 ร่วมกับ full correction และเชื่อว่าฟังก์ชั่นต่างๆจะกลับมาทำงานปกติ และจะนัดตรวจอีก 3 เดือนข้างหน้า และถ้ามีค่าฟังก์ชั่นต่างๆดีขึ้นจริง ก็จะเปลี่ยนค่าเลนส์เพื่อปรับแต่งค่า add ให้ใหม่อีกครั้ง

 

Discussion

การตรวจสายตามันก็เหมือนกับการเริ่มติดกระดุมเม็ดแรกที่ต้องเริ่มให้ดี เริ่มตรวจด้วยหลักการณ์ที่ถูกต้องในห้องตรวจที่ถูกต้อง แล้วตามมาด้วยเรื่องการฟิตติ้งให้ได้เซนเตอร์ที่ถูกต้อง แล้วจากนั้นก็จัดมุมแว่นที่กระทำกับตาให้ถูกต้อง แล้วเลือกเลนส์ให้ได้โครงสร้างตรงกับ lifestyle ของคนไข้ แล้วให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับคนไข้  จริงๆการทำงานมันก็มีอยู่แค่นี้

 

ในเคสนี้เนื่องด้วยคนไข้มีปัญหาค่อนข้างมากกับการใช้สายตาเพราะต้องทำงานอยู่บนหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน บางครั้งก็ต้องตลอดคืนกับงานเทรด ทำให้มีความจำเป็นอย่างมากในการใช้สายตาเพื่อทำงาน แต่ด้วยปัญหาที่แก้ไม่จบซ้ำซาก คนไข้จึงให้ความสำคัญกับการตรวจสายตาครั้งนี้มากมาก จึงวางแผนเวลาเดินทางจากต่างจังหวัดเพื่อมาพักที่กรุงเทพเป็นเวลา 2 คืน 3 วันเผื่อกันพลาดจะได้ตรวจเช้าวันแรกและตื่นมาซ้ำอีกตอนเช้าของอีกวัน ก่อนจะบินกลับช่วงเย็นเพื่อให้ได้ค่าที่แน่นอน แล้วจึงค่อยสั่งเลนส์

 

จากประสบการณ์ความที่ fail กับแว่นหลายๆแห่งของคนไข้ที่เสียทั้งเงินเสียทั้งแวลา ระหว่างรอแว่นจึงเป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจทั้งคนไข้และหมอว่าผลจะเป็นอย่างไรและด้วยความที่ต้องส่งแว่นไปให้คนไข้ทางไปรษณีย์กลายเป็นเครื่องที่มีตัวแปรเพิ่มขึ้นอีก ก็ได้แต่บอกคนไข้กำชับในข้อความถึง worse case ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งคนไข้ก็รับรู้และเข้าใจ

 

หลังจากที่ได้รับแว่นก็ส่งข้อความมาบอกหลังได้รับแว่นว่า “ก็ไม่เป็นไรนะ ชัดดี ทั้งไกลทั้งใกล้เลย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดและดีกว่าที่คาดเอาไว้เยอะ ไม่ได้มีอาการอะไรที่รู้สึกว่าต้องปรับตัวกับเลนส์คู่ใหม่” จึงแจ้งคนไข้ว่า ให้ใส่จับอาการไปเรื่อยๆ อีก 3 เดือนขึ้นมา กทม.อยากจะขอตรวจดูฟังก์เช่นการเพ่งของเลนส์ตาเพิ่มเติมว่ามันจะดีขึ้นตามสมมติฐานหรือไม่

 

การตรวจวัดสายตา หรือ comprehensive eye examination จึงมีนัยยะทางคลินิกมากกว่าการวัดแว่นมาก

 

Optical Treatment

ธรรมชาติของกลุ่มทัศนมาตรของผม ซึ่งมีกันอยู่ 3 คน  คือผม ดร.เดียร์ (tokyo progressive เชียงใหม่) และดร.แจ๊ค (สุธนการแว่น พิจิตร)   ดร.แจ๊คได้แสดงมุมมองการแก้ไขปัญหาได้อย่างน่าสนใจ ว่า

"แว่นตาแท้จริงแล้วมันเป็น optical treatment อย่างหนึ่งที่ต้องผ่านการคำนวณโดสที่ถูกต้องเหมาะสมให้ได้เซนเตอร์ที่แม่นยำ เพียงแต่เราไม่ได้เอาอุปกรณ์ทางการแพทย์คือเลนส์สายตาผ่าเข้าใส่เข้าไปในลูกตาเหมือนหมอที่เอาเลนส์เทียมใส่เข้าไปในลูกตาก็เท่านั้นเอง เมื่อเราทำได้ถูกต้องเหมาะสม คนไข้ก็จะได้รับการรักษาด้วยคุณสมบัติของออพติก แต่ถ้าเราทำไม่ถูกต้องก็จะเกิดปัญหาตามมามากมายเช่นอาการ asthenopia ได้แก่คลื่นไส้ เวียนศีรษะ อยากจะอาเจียน ปวดเมื่อยเครียดบริเวณลูกตาและเบ้าตา อ่านหนังสือไม่ทน แสบตา แพ้แสง น้ำตาไหล อ่านช้า อ่านข้ามบรรทัด หัวตื้อๆ มึนๆ เห็นภาพซ้อน เหล่านี้ทั้งหมด เหล่านี้เป็น Disease ชนิดหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันไม่รอยโรคทางกายภาพแสดงออกมาเท่านั้นเอง แต่เราไม่ยอมมองว่ามันเป็น Disease เรามองเป็นเพียง Error เราจึงไม่สนใจที่จะศึกษาแก้ไขหรือระหวังผลกระทบที่จะตามมาจากการักษาที่ผิดพลาด"

 ซึ่งผมฟังแล้วก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ 

 

Binocular Funciton

 

ถ้าเข้าใจเรื่อง binocular เพียงสักเล็กน้อย แม้ไม่ต้องรู้ถึงขนาดว่าจะแก้ไขด้วยปริซึมหรืออะไรก็ตาม แต่ให้เข้าใจเพียงแต่ว่า refractive error ที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขหรือได้รับการแก้ไขที่ไม่ถูกต้อง สามารถทำให้ระบบ binocular system เกิด disfunction ได้

 

ถ้าเราเข้าใจ เราก็ไม่กล้าที่จะมั่ว ไม่กล้าที่จะก๊อปปี้ค่าสายตาเก่าที่ผิดๆแต่ใส่มาจนชินด้วยอ้างอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราทำอย่างนั้น นั่นแสดงถึงว่าเราไม่เข้าใจ  ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องศึกษาฝึกฝน ทั้งปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวชะ ให้มันรู้ลึกซึ้งถ่องแท้ แล้วแก้ให้มันถูกต้อง ก็จะสามารถช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ดีขึ้น มีความสุขขึ้น ไม่ต้อง shopping around เสียเวลาเสียการเสียงาน

 

ผมเป็นคนหนึ่งที่จ่ายเลนส์โดยไม่เคยสนใจแม้แต่จะเอา prescription เก่าของคนไข้ไปตรวจวัดดู เว้นเสียแต่คนไข้อยากจะทราบว่าต่างจากค่าเดิมแค่ไหน เอาจริงๆคือ 1.เสียเวลา 2.ไม่ได้ให้ priority และผมไม่เคยเชื่อเรื่องการจัดค่าสายตาให้ใกล้เคียงกับค่าสายตาเดิมเพื่อให้คนไข้ปรับตัวง่าย ผมไม่เคยโอเคกับการที่คนไข้ชินแบบผิดๆแต่ไม่ยอมแก้ไข้ให้ถูกต้อง และ 100% ของคนไข้ที่เข้ามารับบริการ คือต้องการรู้ปัญหาสายตาที่แท้จริงของตัวเอง และ ยินดีจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง  ให้ปัญหาที่มีอยู่นั้นออกไป ไม่ใช่การย้ายปัญหาหนึ่งไปสู่อีกปัญหาหนึ่ง  การจัดสายตาหรือการรับทำแว่นตามใบสั่งหรือสำเนาค่าสายตาเดิมจึงไม่เคยเกิดขึ้นในร้านตั้งแต่เริ่มทำจนปัจจุบัน

 

Progressive lens for Optical Treatment.

โครงสร้างเลนส์ที่นำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสายตาและระบบการมองเห็นนั่นก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึง ซึ่งเลนส์คู่นี้ คนไข้ขอเป็นเลนส์ที่ดีที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีโลกปัจจุบันจะสามารถ support ได้ ไหนๆก็ตั้งใจเต็มที่ขนาดนี้แล้วก็ต้องการที่จะให้หมดความสงสัยไปเลย ถ้าใช้งานแล้วมีปัญหาก็คงต้องตกอยู่ที่ผมคนเดียว

 

ดังนั้นเลนส์ที่ถูกเลือกมาแก้ไขปัญหาคนไข้จึงเป็นเลนส์จากเยอรมนี Rodenstock Impression FreeSign 3 plus DNEye Technolgoy + ColorMatic IQ 2 1.6  + Solitaire protect plus 2 + extra clean   ส่วนข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับ Impression FreeSign 3 นั้นสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากลิ้งค์​ https://www.loftoptometry.com/ImpressionFreeSign3

 

สรุป

เรื่องที่นำมาเล่าให้ฟังวันนี้นั้น ไม่ได้มีความลับหรือสูตรสำเร็จพิเศษอะไรเลยในการแก้ไขปัญหาการมองเห็นขนาดที่ต้อง shopping around มาเป็นปีๆ เสียเวลา เสียเงิน ทำแว่นไปหลายตัวในปีเดียว และทุกข์เครียดจากไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และก็มาจบปัญหาง่ายๆด้วยการจ่าย full correciton ให้คนไข้เท่านั้นเอง 

 

ปัจจัยรองที่มีผลอยู่บ้างก็คือผลิตภัณฑ์เลนส์ที่นำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา  เช่นเลนส์เดิมที่คนไข้ใช้อยู่นั้นก็เป็นเลนส์ที่ใช้เทคโนโลยีไฮเอนด์เช่นเดียวกันเพียงแต่มาจากคนละค่าย ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุที่จะใหม่ได้หรือมีปัญหาขนาดนั้น  แต่สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยคือ ค่าสายตาใหม่กับค่าสายตาที่อยู่บนแว่นเก่านั้นไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้น จึงพอจะสรุปได้ว่า ปัญหาแท้จริงนั้นอยู่ที่ค่าสายตาไม่ใช่อยู่ที่เลนส์ 

 

ผมจึงอยากจะย้ำกันตรงนี้อีกครั้งว่า Value ในการทำงานด้านสายตาแท้จริงนั้นอยู่ที่ Prescription ที่เราจ่ายให้คนไข้ ไม่ใช่ที่เลนส์ เลนส์นั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เราสามารถสั่งให้ผู้ผลิตนั้นทำตามสเปคของเรา เหมือนกับการสั่งปรุงยาให้ตรงกับโรคที่เราวินิจฉัย ถ้าเราวินิจฉัยพลาด การสั่งยาก็พลาด ยาที่ผลิตออกมาแม้จะใช้เทคโนโลยีสูงระดับไหนก็คงไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้กับคนไข้ได้  เลนส์ก็เช่นเดียวกัน 

 

ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ เราก็จะเร่งพัฒนาฝีมือในการทำงานด้านคลินิก อย่าไปเพ้อตาม Detail Lens ที่เชียร์ขายเทคโนโลยีเลนส์ เพราะเขามีหน้าที่ present ว่าปัจจุบันเขามีเทคโนโลยีในการปรุงเลนส์(ยา)ไปถึงไหนแล้ว ลดอาการข้างเคียงอย่างไรบ้าง มันดีกับคนไข้อย่างไรสำหรับเลนส์ในแต่ละรุ่น แต่ท้ายที่สุดมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราวินิจฉัยความผิดปกติถูกต้องหรือไม่  การเคลมเลนส์ด้วยการแก้ไขสายตาก็คือการวินิจฉัยผิดแล้วสั่งแก้สเปค  ส่วนฝั่งปรุงยาก็แก้ส่วนผสมใหม่ตามคนสั่ง  ถ้าสั่งผิดอีกก็แก้ผิดเหมือนเดิม  ดังนั้นการเชียร์ขายเทคโนโลยีเลนส์ทั้งที่ความเชี่ยวชาญด้านการตรวจวิเคราะห์และวินิจฉัยนั้นต่ำถือเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับคนไข้โดยตรง ต้องระวัง 

 

พอเข้าใจผิดว่า value อยู่ที่เลนส์ก็เลยเชียร์ขายเลนส์ พอเชียร์ขายเลนส์เหมือนๆกันแต่แก้ไขปัญหาได้ไม่ดีเหมือนๆกัน ก็เลยเถิดเป็นว่าเลนส์ใครขายถูกกว่า เกิดการแข่งโปรโมชั่นมากกว่าแข่งกันทำดี

 

สวัสดีครับ

ดร.ลอฟท์

 

ท่านที่สนใจจะเข้ารับการตรวจ

Loft Optomery , 578 ถ.วัชรพล ท่าแร้ง บางเขน กทม.

นัดเวลาเข้ารับบริการได้ที่เบอร์ 090-553-6554 หรือทาง inbox หรือทางไลน์ไอดี loftoptometry

facebook  : https://www.facebook.com/loftoptometry

maps : https://goo.gl/maps/VoLxmLotbYxiN2qXA

note : ท่านที่อยากจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับปัญหาสายตาและระบบการมองเห็นก็เข้า google แล้วพิมพ์เรื่องที่อยากรู้ตามด้วย loft optometry ก็อาจจะช่วยคลายความสงสัยหรือกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาการมองเห็นไม่มากก็น้อย

 


#Specification

Lens : Rodenstock Impression FreeSign 3 1.6 CMIQ 2 Gray + DNEye technology + Solitaire Protect Plus 2 + extra clean

Frame : LINDBERG rim titanium

model : Esben 50#18 , basic temple 145 ,col. U16 U16 10

 

Tags : #Optometry #LoftOptometry #ทัศนมาตรวิชาชีพ #LindbergThailand #RodenstockThailand #Esben #rimtitanium #titaniumeyewear #ImpressionFreeSign #Bitcoin #Crypto #AcceptBitcoinHere

 

 

 



toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel situs toto toto togel toto togel toto togel toto togel situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto