
โลกแห่งวิชาชีพที่ผมยืนอยู่ถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วชัดเจน ขั้วแรกคือ ลัทธิ “ทอนค่าสายตา” (Conservative) กลุ่มนี้ยึดมั่นใน "ความเคยชิน" ไม่อยากไปรบกวนความคุ้นเคยเก่าๆ ของคนไข้ แม้รู้ทั้งรู้ (หรือแกล้งไม่รู้) ว่ามันจะสร้างปัญหาตามมาเป็นหางว่าว
ขั้วที่สองคือ ลัทธิ “Full Rx” (Precision) กลุ่มนี้เชื่อเรื่อง Binocular Function อย่างสุดหัวใจ เพราะรู้ดีว่า Uncorrected Refractive Error คือจุดเริ่มต้นของหายนะ ทั้งระบบการทำงานร่วมกันของสองตา และระบบการเพ่งของเลนส์แก้วตาที่ต้องทำงานหนักเกินจริง
แต่น่าเศร้าที่ ลัทธิแรกมีสมาชิกเยอะกว่าหลายขุม... เพราะอะไร? เพราะมัน "ง่าย"! ไม่ต้องรู้ลึก ไม่ต้องเข้าใจกลไกสมอง แค่จำๆ ตามที่เขาว่ากันมา ไม่เคยตั้งคำถามว่าทำไมต้องทอน? ทำไมต้องจัด? และที่สำคัญคือ ไม่กล้าตั้งคำถามกับเจ้าสำนักว่าทำไมสอนให้ทำแบบนี้ เรียกว่าใช้ "ศรัทธานำปัญญา" ล้วนๆ
ส่วนฝั่ง Full Rx นั้น จะเป็นพวก Perfectionist คือกังวลเรื่อง Residual Refractive Error มาก จะยอมให้มีความคลาดเคลื่อนหลงเหลืออยู่ไม่ได้ ต้องใช้ทักษะ ความรู้ และเครื่องมือรีดเค้นเอาความชัดระดับไมครอนออกมาให้หมด ถ้ายังไม่หมด... นอนไม่หลับ!
ผมเองก็โตมากับลัทธิแรก ได้ยินคำกรอกหูตลอดว่า "จัดสายตาๆ ทอนสายตาๆ" แต่ในใจมันค้านตลอดว่า "หลักการจริงๆ มันคืออะไร (วะ)?” คำนวณยังไง? แล้วให้เรานั่งตรวจในห้องมืดเป็นชั่วโมงเพื่ออะไร? ถ้าสุดท้าย Consult เดินมาบอกว่า "ลอกค่าแว่นเก่าไปเถอะน้อง" เดี๋ยวเขาสั่งไม่ได้ใครจะรับผิดชอบ
คำตอบที่ได้มักจะเป็น "เขาชินแบบนี้ อย่าไปแก้ เดี๋ยวงานเข้า" หรือ "If it ain't broke, don't fix it" สรุปคือ ไม่มีวิทยาศาสตร์รองรับ มีแต่ "ความรู้สึกล้วนๆ" ของ Consult ที่กลัวโดนเคลม และหลายครั้ง Plan ที่จ่ายให้ ก็ไม่ได้แก้ Chief Complaint,CC ของคนไข้เลยด้วยซ้ำ! เช่นคนไข้มาด้วยปัญหาแว่นเก่าไม่ชัด พอตรวจได้ค่าใหม่คนไข้เห็นชัดปกติ แต่ต่างจากค่าเดิมมาก ก็ให้จ่ายเค่าเก่าที่ใกล้เคียงค่าเดิม ด้วยอ้างว่า "คนไข้ชินกับแว่นเก่า" แล้วจะถาม CC เพื่อ ??
จนกระทั่งผมได้เปิดกะลาออกไปสู่โลกกว้าง... ม้าลำปางตัวนี้ไม่มีที่ปิดตาอีกต่อไป กลายเป็น "ม้าพยศ" ที่พร้อมบวกแม้กระทั่งเจ้าสำนักเดิม! แน่นอนครับ เจ้าลัทธิย่อมไม่ชอบม้าพยศ เพราะมันคุมไม่ได้ สู้เลี้ยง "ม้าลำปาง" ดีกว่า สั่งให้ยืนก็ยืน สั่งให้เดินก็เดิน... ม้าเชื่องๆ แบบนี้สิดี ใช้หาตังค์ง่าย ยิ่งรู้น้อย ยิ่งศรัทธามาก เจ้าลัทธิยิ่งสบาย เพราะคนโง่มันปกครองง่าย (คุ้นๆ เหมือนประเทศเพื่อนบ้านที่มีปัญหาชายแดนแถวนี้ที่ระบบเอื้อให้คนไม่ฉลาด เพื่อให้ง่ายต่อการกดขี่)
เริ่มจากการบริกรรมคาถา 3 จบ : มโน... มโน... มโน... เพี้ยยงงงง!
หลักการ: “อย่าจ่ายสั้นเต็ม ชัดเกินไป เดี๋ยวคนไข้ปวดหัว”
สิ่งที่ทำ: วัดได้เท่าไหร่ ให้ลดค่าสายตาสั้น (Myopia) ลง 0.25D หรือ 0.50D เสมอ
ข้ออ้าง: "เผื่อไว้หน่อย เดี๋ยวใส่แล้วพื้นลอย เดี๋ยวเวียนหัว เอาแค่นี้ก็ชัดแล้ว"
ผลเสีย: คนไข้เสียโอกาสที่จะเห็นคมชัดระดับ HD (VA อาจเหลือแค่ 20/30) และเกิด Night Myopia ขับรถกลางคืนมองไม่เห็น
ตลกร้าย: ตอนตรวจบอกให้ลดค่าสายตา แต่ตอนเชียร์ขายเลนส์ดันบอก “พี่คะ รุ่นนี้ชัดระดับ 4K!!” (อ้าว... แล้วจะลดความชัดเขาทำไมตั้งแต่แรก? อ้าวว...งง ๆ งงเป็นไก่ตาแตก!)
หลักการ : "เอียงน้อยๆ ตัดทิ้งไปเถอะ ใส่ไปเดี๋ยวพื้นเบี้ยว ถ้ามากก็อย่าจ่ายเต็ม เดี๋ยวเมา"
สิ่งที่ทำ : วัดเอียงได้ -0.25D หรือ -0.50D ปัดทิ้งเป็น 0 ทันที หรือมักง่ายเอาไปทบเป็นค่าสั้น (Spherical Equivalent)
ข้ออ้าง : "คนไข้ไม่เคยใส่เอียงมาก่อน อย่าไปใส่เลย ปรับตัวยาก" (เคยคิดต่อไหมว่าทำไมเขาไม่เคยใส่? ก็เพราะโดนตัดทิ้งมาตลอดไง!)
ผลเสีย : ภาพไม่มีความคม (Contrast ต่ำ) แสงฟุ้งตอนกลางคืน คนไข้ต้องเพ่งตลอดเวลา... เหมือนเดิมครับ เชียร์ขายแต่เลนส์ 4K แต่จ่ายค่าสายตา 480p (เหมือนซื้อจอ OLED 4k เอาไปดูหนัง “อินทรีย์แดง” สมัย มิตรชัย บัญชา)
หลักการ : “องศาเดิมดีที่สุด ถ้าเขาไม่บ่นก็อย่าไปเปลี่ยน”
สิ่งที่ทำ : แม้จะวัดองศาใหม่ได้แม่นยำแค่ไหน (เช่น เปลี่ยนจาก 180 เป็น 170) ก็จะยัดเยียดองศาเดิม หรือถ้าเจอแกนเอียงแนวเฉียง (Oblique) ก็ห้ามจ่าย! ห้ามทำแกนเอียงต่างกัน (With vs Against Rule)
ข้ออ้าง : "คนไข้ชินกับองศาเดิมแล้ว เปลี่ยนเดี๋ยวเมา เราต้องปลอดภัยไว้ก่อน" (เดี๋ยวลูกค้าขอคืนเงิน)
ผลเสีย : คนไข้ได้แว่นที่ "เกือบชัด" แต่ไม่ "ชัดที่สุด" ตลอดไป พอไปทำเลนส์โปรเกรสซีฟ ทีนี้เละเป็นโจ๊กเยาวราช เพราะ Residual Astigmatism ไปตีกับ Distortion ในเลนส์
หลักการ: "จ่าย Add เยอะ เดี๋ยวระยะชัด (Corridor) แคบ, อย่าจ่ายเต็ม เดี๋ยวแว่นใช้นานเกินไป จ่ายบางๆ ปีหน้าจะได้กลับมาซื้อใหม่"
สิ่งที่ทำ: จ่ายค่าอ่านหนังสือ (Add) น้อยกว่าความเป็นจริง ดึงเชงไม่ยอมเพิ่มตามอายุ ไม่เคยทำ BCC ไม่เคย Balance ADD ด้วย NRA/PRA
ข้ออ้าง: "เอาแค่นี้พออ่านเห็น จะได้เดินง่ายๆ มุมมองกว้างๆ"
ผลเสีย: คนไข้ต้องยื่นแขนอ่านหนังสือจนสุดแขน หรือต้องเกร็งตาช่วย ทำให้ตาล้าเร็ว แว่นอายุสั้นสมใจคนขาย
หลักการ : "อย่าจ่ายสองข้างต่างกันเยอะ เดี๋ยวภาพไม่รวม"
สิ่งที่ทำ : ถ้าค่าสายตาสองข้างต่างกันมาก (Anisometropia) จะพยายามเกลี่ยให้เท่ากัน โดยลดค่าตาข้างที่สั้นเยอะลงมา
ข้ออ้าง : "เดี๋ยวเกิด Aniseikonia (ภาพขนาดไม่เท่ากัน) เดี๋ยวปวดหัว" (พูดโดยไม่เคยลอง ไม่เคยใช้เทคโนโลยีช่วย)
ผลเสีย : ตาข้างหนึ่งจะมัวตลอดกาล และเสียระบบ Binocular Vision ที่สมบูรณ์ไปเลย
นี่แค่น้ำจิ้มครับว่า “เจ้าลัทธิแห่งศาสตร์ทอนสายตา” เขาสอนสาวกกันยังไง ผมรู้ดีเพราะผมก็เคยโดนสอนมาแบบนี้! เมื่อก่อนเรายังเด็ก เราก็เชื่อตามสูตร "รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม" หรือ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"
แต่พอโตมาถึงรู้ว่า ไอ้ที่แบกหามอยู่น่ะ มันขยะพิษที่หนักและไร้ประโยชน์!และเป็นโทษกับคนไข้ล้วนๆ ผมจึงออกเดินทางแสวงหา "โมกขธรรม" จนไปเจอตำราของจริงที่เป็นสากล... ผมหาอย่างไรก็ไม่เจอการสอนเรื่องการ "จัดสายตา" หรือ "ทอนสายตา" เลย! และพบว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างดวงตามาให้ถูกลดทอนศักยภาพ แต่เป็น "มนุษย์ผู้มักง่าย" ต่างหากที่บิดเบือนคำสอนเพื่อความสบายตัว
ถ้าพวกท่านยังชอบ Dark Side ก็เชิญอยู่ฝั่งนั้นต่อไป ไม่ผิดครับ เพราะการขายแสงสว่างให้คนตาบอด (โดยหลอกว่าชัดแล้ว) มันได้ราคาดี เพราะ "ค่ามโน" (Value of Delusion) มันสูง
เอาจริงๆ หลักการพวกนี้ถ้าใช้เมื่อ 100 ปีก่อน สมัยเอาหินมาขัดทำเป็นเลนส์ ผมจะไม่ว่าเลย แต่นี่เราอยู่ในยุค AI, Digital, Freeform การเอาศาสตร์โบราณมาคุยตอนนี้ มันเหมือนคุยเรื่อง "ผีกระสือ" ให้เด็กยุค 5G ฟัง โอเค ในอดีตมันอาจจะมี แต่ตอนนี้ไส้กระสือคงแห้งตายไปหมดแล้วเพราะเชื้อโรค! แม่พิมพ์ทั้งหลายยังจะเล่าเรื่องกระสือให้เด็กยุค AI ฟังกันอีกหรือ?
ถ้าการทอนค่าสายตามันเป็นเรื่องจริง คุณต้องคิดต่อว่า ตลอดระยะการทำงานมา 10 ปี ที่ loft optometry มา จ่าย Full Rx มาโดยตลอดและไม่เคยมีปัญหาเลย และ ไม่เคยเอาแว่นเก่าคนไข้ไปเช็ค (เว้นเสียแต่คนไข้อยากรู้ว่ามันเปลี่ยนไปแค่ไหน) แต่ผมไม่เคยจ่ายเลนส์โดยอิงค่าเก่าจากคนไข้เลย เจ้าลัทธิจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร ...
สำหรับ EP ต่อไป ผมจะมาเล่าถึงแสงสว่างฝั่ง The Bright Side of the Moon ว่าโลกที่ชัดจริงๆ หน้าตามันสวยงามแค่ไหน และทำไมพวกฝั่งมืดถึงยังเลือกที่จะ "อัดแสงใส่กระป๋อง" ไปหลอกขายคนไข้ สำหรับตอนนี้ พอหอมปากหอมคอ เดี๋ยวจะตาลายกันซะก่อน สวัสดีครับ
ติดตามกันได้ที่ page : www.facebook.com/loftoptometry

ดร.ลอฟท์ O.D.
The Dark Matter

578 ถ.วัชรพล ท่าแร้ง บางเขน กทม 10220
mobile : 090-553-6554
lineID : loftoptometry
www.loftoptometry.com
tags : #DarkRefraction #optometrist