
อดีต เมื่อเราพูดถึงค่าสายตา เรามักจะคุ้นเคยกับค่าสายตา 0.25D/step เช่น 0.25, 0.50, 0.75, 1.00, 1.25, ... และเลนส์ก็สั่งได้แค่ค่า 0.25D จริง ๆ เครื่องมือวัดสายตาส่วนใหญ่ (ในอดีต) ไม่ว่าจะ Auto-Refractometer, Phoropter, หรือ Lens Set ส่วนใหญ่ก็จะ 0.25D/step เช่นกัน (จริง ๆ มันมี Accessories 0.12D อยู่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ใช้ เพราะผู้ผลิตเลนส์เองก็ยังทำไม่ได้)
แต่หลัง ๆ มานี้ คอมพิวเตอร์มันฉลาดขึ้น จาก Auto-Refractometer แบบเดิมที่ใช้ Infrared สะท้อนจอประสาทตาแล้ววัดค่าออกมา ก็เปลี่ยนมาเป็นการใช้ Wavefront Technology แทน ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือ เหมือนเราอยากจะรู้ความลึกของบ่อน้ำ ถ้าแบบเดิม (Infrared) เราก็เอาไม้ทอยันดูว่าบ่อลึกแค่ไหน ซึ่งเราก็จะได้ความลึกเพียงส่วนเดียว แต่แบบใหม่ (Wavefront) เหมือนเราหว่านแห่ครอบไปทั้งบ่อ นอกจากความลึกแล้ว เรายังได้ลักษณะสภาพของพื้นผิวอีกด้วย ทำให้สเกลแบบหลังนั้นละเอียดกว่าและได้มิติที่เยอะกว่า ส่งผลให้แบบเดิมเครื่องวัดค่าออกมาเป็น 0.25D/step ขณะที่แบบใหม่นั้นลงไปได้ถึง 0.01D/step
มากไปกว่านั้น ฝั่งผู้ผลิตเลนส์ หลังจาก Free-Form Technology กลายเป็นมาตรฐาน (Standard) ในการผลิตเลนส์ยุคปัจจุบัน ทำให้สามารถขัดค่าได้ละเอียดถึง 0.01D เช่นกัน ดังนั้น เมื่อเครื่องวัดก็ทำได้ เลนส์ก็ทำได้ ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะต้องดี แต่ผลที่ออกมาดูจะไม่ค่อยต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ เพราะปัญหาเดิมก็ยังคงมีอยู่ ยังมีคนที่ปรับตัวกับเลนส์โปรเกรสซีฟไม่ได้สักที เคลมหลายรอบแล้วก็ยังไม่ได้ บางคนก็เข็ดหลาบกันไปเลย แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเทคโนโลยีที่ดีขนาดนี้?
จากปัญหาดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามใหญ่: ค่า 0.01D นี้คือความจริงใหม่ในวงการ หรือเป็นเพียง 'กับดักทางการตลาด' ที่ถูกห่อหุ้มด้วยศัพท์แสงประหลาด ๆ ราวกับหลุดมาจากจักรวาล Marvel? วันนี้ผมไม่ได้มา Anti-Tech แต่มาทำความเข้าใจและใช้งานให้ถูกต้อง เพื่อให้เราไม่เป็นเหยื่อการตลาด เพราะยิ่งความเข้าใจกระจ่างขึ้นเท่าไหร่ วิชาชีพทัศนมาตรก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
เมื่อ 30 ปี ก่อน คำว่า “คอมพิวเตอร์” เป็นคำใหม่ (เหมือนกับคำว่า AI สมัยนี้) คือคนจะมีความเชื่อว่า “คอมพิวเตอร์ = แม่นยำ” ส่วน “มนุษย์ = มีกิเลส, Bias และมีความผิดพลาด” และทัศนมาตรศาสตร์ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย และเมื่อก่อนคนทำแว่นเองก็ไม่เข้าใจเรื่องสายตามากเหมือนสมัยนี้ ไม่มีการเรียนการสอน ไม่มีอินเตอร์เนต ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่มาจากความใฝ่รู้ ครูพักลักจำ พอมีคอมพิวเตอร์วัดสายตาเกิดขึ้น ก็เกิดศรัทธา และบูชาว่าเป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ซึ่งมันก็ถือว่าได้ผลมากในสมัยนั้น ดังนั้นทุกร้านต่างใฝ่ฝันว่าจะมีเครื่องวัดสายตาคอมพิวเตอร์ประจำร้าน พอได้มาแล้ว ก็ต้องขึ้นป้ายเลยว่า “ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นด้วยระบบคอมพิวเตอร์” แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว จะมีก็สติ๊กเกอร์เก่าที่ยังไม่ได้แกะออก
หลักการ: จะยิงแสง Infrared เข้าไปในดวงตา แล้ววัดการหักเหของแสงที่สะท้อนกลับออกมา โดยตั้งสมมติฐานว่า "ดวงตาเป็นเลนส์ที่มีผิวเรียบสม่ำเสมอ"
วิธีคิด : เครื่องจะพยายามหา ค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุด เพื่อให้แสงไปตกบนจอประสาทตา โดยมองภาพรวมของดวงตาทั้งหมดเป็นชิ้นเดียว
เปรียบเทียบ : เหมือนการตัดสูทแบบสำเร็จรูป (Ready-to-wear) ที่ใช้แค่สายวัดรอบอกและรอบเอวเพื่อหาไซส์มาตรฐาน S, M, L หรือเทียบกับการหยั่งความลึกของน้ำด้วยไม้ค้ำยัน ที่ให้ค่าเพียงมิติเดียวคือความลึก
หลักการ : จะฉายคลื่นแสงเข้าไปในดวงตาเช่นกัน แต่ขากลับออกมา เครื่องจะวัดความบิดเบี้ยวของ "หน้าคลื่นแสง" (Wavefront) ที่เดินทางผ่านกระจกตาและเลนส์ตา โดยแบ่งพื้นที่รูม่านตาออกเป็นจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก (ผ่านเซนเซอร์ที่เรียกว่า Hartmann-Shack Sensor)
วิธีคิด : เครื่องจะตรวจสอบทุกตารางมิลลิเมตรของทางเดินแสงว่ามีความขรุขระ หรือบิดเบี้ยวตรงจุดไหนบ้าง ไม่ได้มองภาพรวมเป็นค่าเฉลี่ยแบบหยาบ ๆ
เปรียบเทียบ : เหมือนการ "สแกนร่างกาย 3 มิติ" เพื่อตัดสูทแบบ Tailor-made ที่วัดความโค้งเว้าของแผ่นหลัง ความลาดของไหล่ และรายละเอียดทุกจุด เพื่อให้เข้ากับสรีระของคนไข้คนนั้นเป๊ะ ๆ หรือเทียบกับการ "หว่านแห" ที่มีตาข่าย (Grid) เล็ก ๆ ครอบไปทั่วผิวน้ำ ทำให้รู้ถึงลักษณะของผิวน้ำในแต่ละจุดอย่างละเอียด
Auto-Refractometer : วัดได้เฉพาะ "ความคลาดเคลื่อนระดับต่ำ" (Lower-Order Aberrations - LOAs) ได้แก่: Sphere : สั้น หรือ ยาว และ Cylinder: เอียง และองศาเอียง ซึ่งครอบคลุมปัญหาการมองเห็นประมาณ 85-90% ของคนทั่วไป
Wavefront Aberrometer : วัดได้ "ทุกอย่าง" คือทั้ง LOAs และ "ความคลาดเคลื่อนระดับสูง" (Higher-Order Aberrations - HOAs) ซึ่งมันเป็นเหมือนกับ optical noise เช่น:
Coma : ภาพซ้อนเหมือนดาวหาง (พบมากในขึ้นไข้ที่ใช้ multi-focal IOL และ คนไข้หลังเลสิก)
Trefoil : แสงแตกเป็นสามแฉก
Spherical Aberration : เห็นแสงฟุ้งกระจาย (Halo) รอบดวงไฟ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ซึ่งเดิมที aberration เล็กๆน้อยๆเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกมองข้ามและละเลย ซึ่งจริงๆ แล้วมีผลต่อคุณภาพความคมชัด แต่ด้วยเทคโนโลยีการขัดผิวโครงสร้างเลนส์ในอดีตนั้นไม่ละเอียดพอที่จะแก้ไข aberration เล็กๆเหล่านี้ได้
เดิมที Aberration เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้คือสิ่งที่ถูกมองข้ามและละเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วมีผลต่อ คุณภาพความคมชัด แต่ด้วยเทคโนโลยีการขัดผิวโครงสร้างเลนส์ในอดีตนั้น ไม่ละเอียดพอ ที่จะแก้ไข 'Optical Noise' เหล่านี้ได้
จากข้อมูลข้างต้น ก็เหมือนว่าทุกอย่างต้องออกมาดี แต่ทำไมผลลัพธ์จากการใช้งานจริงจึงยังคงมีปัญหาอยู่?
หลักการจ่ายเลนส์ที่ถูกต้อง (Full Rx) ต้องอยู่บนพื้นฐานนี้คือ: BCVA (Best Corrected Visual Acuity) + MPMVA (Maximum Plus Maximum Visual Acuity) คือการได้ค่าที่ให้ความคมชัดดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นค่ากำลังเลนส์ที่ ลบน้อยที่สุด (หรือบวกมากที่สุด) ที่ยังคงทำให้คนไข้มีความคมชัดสูงสุด ทั้งนี้ก็เพื่อให้ ระบบ Accommodation (ระบบเพ่ง)นั้นผ่อนคลายสูงสุด
แต่เครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านี้ มักให้ค่าที่ Over-Minus (สั้นเกินจริง) ในคนไข้สายตาสั้น และ Under-Plus (ยาวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น) ในคนไข้สายตายาวแต่กำเนิด (Hyperopia)
ความจริงคือ “เครื่องมือไม่ได้ผิด” แต่ปัจจัยทางสรีรวิทยา (Physiology) ของร่างกายเรา ทำให้เครื่องมือเข้าใจผิด จึงให้ค่าที่ออกมาผิด โดยมีสาเหตุหลักคือ:
กลไก : Proximal Accommodation เป็นภาวะที่สมองเราเพ่งเนื่องจากกะระยะผิด สมองของเรารู้ว่าวัตถุไม่ได้อยู่ที่ระยะอนันต์จริง ๆ เพราะ "มีกล่องสี่เหลี่ยมจ่ออยู่หน้าใบหน้า" (Psychological awareness of nearness) เมื่อสมองรู้สึกว่าวัตถุอยู่ใกล้ จะไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติให้เกิดการเพ่ง (Accommodation) เล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ผลลัพธิ์ : เลนส์ตาของคนไข้จะป่องตัวขึ้น ทำให้ค่าสายตาที่วัดได้ติดลบมากขึ้น (Over-minus)
เครื่อง Auto-refractometer (และ Wavefront ส่วนใหญ่) จะมีระบบ Fogging (ทำให้ภาพเบลอเพื่อคลายการเพ่ง) แต่ในคนไข้บางราย กล้ามเนื้อตาอาจมีการเกร็งค้าง (Spasm) หรือมีความไวในการเพ่งสูง จังหวะที่เครื่องทำให้ภาพชัดเพื่อวัดค่า (แม้จะเสี้ยววินาที) ตาคนไข้จะเผลอ "คว้า" ภาพนั้นไว้ (Grab focus) ทำให้เกิดการเพ่งแทรกเข้ามาในจังหวะที่เครื่องยิงแสงวัดค่าพอดี
หลักการ : เครื่อง Wavefront มักต้องการรูม่านตาที่ขยายกว้างเพื่อเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด
Positive Spherical Aberration: แสงที่ผ่าน "ขอบนอก" ของกระจกตาและเลนส์ตา มักจะหักเหเยอะกว่าแสงที่ผ่านจุดกึ่งกลาง (แปลว่าขอบนอกจะมีค่าสายตาสั้นมากกว่าตรงกลาง)
การคำนวณ : หาก Algorithm ของเครื่องนำค่าเฉลี่ยของ "ทั้งรูม่านตา" (Whole pupil) มาคำนวณค่าสายตา มันจะดึงค่าเฉลี่ยให้ติดลบมากขึ้น เพราะไปรวมเอาขอบนอกที่สั้นกว่าเข้ามาด้วย ทั้ง ๆ ที่ในการมองเห็นปกติ คนไข้จะใช้จุดกึ่งกลาง (Visual Axis) เป็นหลัก
เครื่องมือที่มีความละเอียดสูงจะไวต่อความไม่เรียบของกระจกตามาก หากคนไข้ตาแห้ง หรือกะพริบตาไม่สุด ชั้นน้ำตาจะขรุขระ ซึ่งการกระเจิงของแสงจากน้ำตาที่ไม่เรียบ สามารถหลอก Sensor ให้แปลผลผิดเพี้ยนไปทาง Minus ได้ หรือทำให้ค่าแกว่งไปมาอย่างมาก
ดังนั้น เครื่องวัดสายตาคอมพิวเตอร์ ทั้งแบบธรรมดาและ Wavefront ถูกออกแบบมาให้เป็น "จุดเริ่มต้น" (Starting Point)เท่านั้น ไม่ใช่ “Final Rx” แล้วเอาค่าที่ได้ไปจ่ายเลนส์แบบตรง ๆ และที่สำคัญ โดยหลักสากลแล้ว ให้ถือว่าค่าที่ได้จากเครื่อง (Objective Refraction) เป็นค่าที่ "Max Minus" (ลบมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้) เสมอ
อย่างที่พูดไปข้างต้นว่า “เครื่องไม่ได้แย่” แต่การใช้งานให้รู้ขีดจำกัดของมันต่างหากที่สำคัญ และ ตัวที่เป็นอุปสรรคต่อวงการ ต่อเทคโนโลยี และขัดขวางความเจริญของวิชาชีพทัศนมาตรเลยก็คือ “#การทอนค่าสายตา” หรือ “#จัดสายตา” อย่างที่ผมพูดถึงอยู่บ่อย ๆ เพราะเวลาคุณโฆษณา คุณบอกว่า เครื่องตรวจได้ถูกต้อง ละเอียด แม่นยำ ระดับ 0.01D แต่เวลาคุณทำจริง คุณก็ไปลอกค่าสายตาเก่าที่ผิด ๆ ถูก ๆ จัดให้สายตาสองข้างเท่ากัน (โดยไม่เคยแคร์ว่า Accommodation จะทำงานเพี้ยน) จัดให้สายตาเอียงเท่ากัน องศาเอียงคุณก็ปัดเข้าแกนหลัก ปัดไปปัดมาไม่ชัด คุณก็ Over-minus แล้วผลที่ออกมามันก็ผิด เพราะคุณไม่เคยรู้ว่า Residual Refractive Error มันจะไปรบกวนโครงสร้างเลนส์โปรเกรสซีฟยังไง เพราะแม้ว่าฝั่งผู้ผลิตเลนส์เขาจะสามารถทำเลนส์ที่มีโครงสร้างได้ละเอียด 0.01D แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้า Input มันเป็นค่าสายตาที่ผิดมาตั้งแต่ต้น แล้วผลที่ออกมามันจะดีได้อย่างไร? เช่นเดียวกับการติดกระดุมเม็ดแรกผิดไปแล้ว จะหวังให้กระดุมเม็ดสุดท้ายมันเข้ารูได้อย่างถูกต้องได้อย่างไร? Input ผิด Output ก็ไม่มีทางถูก!
เทคโนโลยีไม่ได้ผิด แต่การไม่เข้าใจขอบเขตและขีดจำกัดของเครื่องมือต่างหากที่ผิด นำไปสู่การตลาดที่เกินจริง สร้างความคาดหวังโดยไม่จำเป็น และมองผู้บริโภคเป็นเหยื่อเพียงเพราะทำแล้วได้เงิน นี่แหละคือ Dark Side of The Moon ของวงการสายตาตัวจริง!
ก็พอหอมปากหอมคอสำหรับ Dark Refraction EP.1 หวังว่า จะได้สาระและความบันเทิงให้กับท่านที่อยากจะรู้จักอีกด้านของพระจันทร์ว่าในความมืดนั้นมีอะไร ถ้าชื่นชอบก็กดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้กันได้

(The Dark Matter )

578 ถ.วัชรพล ท่าแร้ง บางเขน กทม 10220
mobile : 090-553-6554
lineID : loftoptometry
www.loftoptometry.com
tags : #DarkRefraction #Coma #Trefoil#sphericalaberration #aberrometer #Autorefractometer #optometrist