ความภูมิใจในวิชาชีพทัศนมาตร

เรื่องโดย ดร.ลอฟท์

14 สิงหาคม 2562

 

 

วันนี้พักฟังเสียง “วิชาการ” มาฟังเสียง “จิตวิญญาณ” กันดูบ้าง

.

“กายที่ปราศจากใจ” คงไม่ต่างอะไรจาก “ซอมบี้” ที่มีแต่ความ “หิวโหยและเกลียดชัง”

.

เรื่องที่จะมาพูดในวันนี้ก็คือ "ความภูมิใจในวิชาชีพทัศนมาตร"

.

เพื่อให้บางคนที่ยังไม่มีความภูมิใจ ได้ภูมิใจบ้าง และคนที่ภูมิใจอยู่แล้ว ขอให้รู้ว่ามีเพื่อนร่วมวิชาชีพของเขาอย่างน้อยหนึ่งคนที่รู้สึกเหมือนกัน

.

เพราะความ ภูมิใจจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และ แสดงออกให้เห็นถึงความภาคภูมิใจนั้นผ่านการกระทำ  เช่น ขยันเรียน ขยันทำงานอย่างซื้อสัตย์ต่อวิชาชีพ อย่างตรงไปตรงมา

.

หากไม่มีความภูมิใจ กันก็จะแสดงออกเช่นกัน เช่น ขี้เกียจเรียน ไม่ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ ชอบทางลัด เอาง่ายว่า  มองเฉพาะที่เป็นประโยชน์ส่วนตน นำไปสู่พฤติกรรม cheating ต่อไป  

.

ช่างซ่อมรถที่ไม่ภูมิในใจอาชีพ ก็จำยำรถของลูกค้าที่มาใช้บริการ แอบเปลี่ยนอะไหล่เทียมใส่ ใช้ของคุณภาพต่ำกว่าตกลง วางยา  นั่นคือการ cheating 

.

แท๊กซี่ ที่ไม่ภูมิใจในอาชีพ ก็จะคิดมิเตอร์เกินจริง โมดิไฟมิเตอร์ให้ขึ้นเร็วๆ  โกงลูกค้าต่างชาติ  ไม่รับลูกค้าหน้าไทยๆ  อ้างว่าส่งรถ อ้างว่าเติมแก๊ซ  เหล่านี้คือการ cheating

.

แม้ค้าขายอาหารที่ไม่ภูมิใจในอาชีพ ก็จะใช้อาหารเก่า ที่ขายเหลือจากเมื่อวาน หรือหลายวันก่อน มาขายซ้ำ  ใช้วัตถุดิบที่ไม่สะอาด  ไม่ปลอดภัย ในการปรุงขาย  นี่ก็ cheating 

.

ช่างรับเหมาที่ไม่ภูมิใจในอาชีพ  รับเงินแล้วทิ้งงาน  เห็นบ่อย นี่ก็ cheating 

.

ส่วน Mega cheating นั่นก็ดูได้จาก ข่าวการคอรัปชั่น ของนักการเมืองบางคนในบ้านเรา 

 .

การ Cheating จึงมีอยู่ทุกอาชีพ และ ทั่วโลก ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคนที่ไม่รัก และ ไม่ภูมิใจในอาชีพที่ทำ 

.

ดังนั้นความภูมิใจจึงมีความสำคัญในการเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม ว่าจะทำเรื่องดีๆ หรือ เรื่องไม่ดี

.

“ภูมิใจ” มาจากคำว่า “ภูมิ” คือ "ที่อยู่" และคำว่า “ใจ” ก็คือ “จิตใจ”

.

“ภูมิใจ” จึงแปลตรงตัวได้ว่า “ที่อยู่ของใจ” ซึ่งที่ที่ใจของแต่ละคนชอบอยู่ย่อมไม่เหมือนกันเพราะการให้ค่าในแต่ละสิ่งที่ไม่เหมือนกัน

.

คนชอบฟังเพลง เครื่องเสียงแพงเท่าไหร่ก็ซื้อ และสามารถนั่งฟังได้ทั้งวัน เพราะใจชอบไปวางอยู่ในเสียงเพลง

.

คนชอบกิน  แพงเท่าไหร่ก็กิน  ได้กินทุกวัน เพราะใจไปวางอยู่ในของกิน

.

คนชอบรถ แต่งหมดเท่าไหร่ก็ยอม ขอให้ได้ขับรถในฝัน เพราะใจชอบไปวางอยู่ในรถ

.

คนชอบพนัน  หมดไร่หมดนา ก็ยอมให้หมด เพราะเอาใจไปวางใว้ในการพนัน

.

คนๆหนึ่งจึงมีมากมายหลายสิ่งในชีวิต “ที่อยากเอาใจไปวาง” เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง อยู่ที่การให้ราคาในแต่ละสิ่ง ซึ่งมีทั้งที่ดีและที่ไม่ดี

.

เมื่อจิตเกิด กายก็จะสร้างสภาพแวดล้อมให้จิตอยู่สบาย ด้วยการสร้างกรรมขึ้นมา ทั้งทาง กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

.

ถ้า “ภูมิของจิต” เป็นบวก  ก็จะคิด ทำ พูด ในเรื่องดีๆ

.

ถ้า “ภูมิของจิต” เป็นลบ ก็จะ คิด ทำ พูด ในเรื่องชั่วๆ

.

“ใจ”จึงเป็น “นาย”  “กาย” จึงเป็น“บ่าว” โบราณว่า

.

สำหรับผม สิ่งที่เป็น “ภูมิ” ของใจอยู่หลายเรื่อง แต่เรื่องที่ผมภูมิใจมากที่สุด ก็คงจะเป็น การได้เดินทางชีวิตในวิชาชีพทัศนมาตร 

.

วันนี้ผมจึงอยากจะเขียนเรื่อง “ความภูมใจในวิชาชีพทัศนมาตร”

.

งานเขียนนี้ ให้ถือว่าเป็นงานเขียนเชิง “วรรณศิลป์” ที่เป็นมุมมองส่วนตัวของผม ที่มองโลกแล้วรู้สึกเกิดขึ้นในจิต แล้วอยากเล่าผ่านตัวหนังสือ ให้กับแฟนคอลัมน์ได้ฟัง

.

ถ้าต้องผู้อ่านต้องการเนื้อหาวิชาการ แนะนำให้หยุดแค่นี้ จะได้ไม่เสียเวลา

.

ถ้าอยากได้ inspire บางอย่าง  อยากให้คุณอ่านต่อให้จบ  (ซึ่งอาจจะได้..หรือไม่ได้..ผมไม่การันตี)

.

เริ่ม...

.

ผมเป็นคนหนึ่งในหลายๆคน เช่น ดร.แจ๊ค  ดร.เดียร์ เป็นต้น ที่ภาคภูมิใจในวิชาชีพที่ทำอยู่คือ “วิชาชีพทัศนมาตร”

ซ้าย: ดร.แจ๊ค  สุธน การแว่น (พิจิตร)  
กลาง : ดร.ลอฟท์ ,Loft Optometry (กทม.)
ขวา : ดร.เดียร์  Tokyo Progressive (เชียงใหม่)

 

ผมภูมิใจโดยสดุดี โดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยในวิชาชีพที่ทำอยู่

.

ผมแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ ด้วยการทำงานอย่างเต็มความสามารถอย่างที่ทัศนมาตรควรทำ อ่านศึกษาตำราเพิ่มเติมเมื่อมีเวลา และ เขียนบทความให้ความรู้เมื่อมีอารมณ์ และผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเรียน Optometry  จนทำงานเป็น lens consultant ให้ Rodenstock และ ออกมาทำ Loft Optometry  

.

ทุกย่างก้าวของการทำงานล้วนทำไปด้วยในความรักและอยากทนุถนอมวิชาชีพให้เติบโตแข็งแรงและสวยงามยิ่งๆขึ้นไป

.

ส่วนใครจะมองว่าวิชาชีพนี้เป็น "เหมืองทอง" ก็สุดแท้แต่เขา คงห้ามกันไม่ได้เพราะหลายคนยังแยกไม่ออกระหว่าง “คุณค่า” กับ “ราคา” หรือ “Value” กับ “Price” และไปเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

.

เกิด mindset ขึ้นมาว่า "ขายดีแปลว่าดี"  "ขายดีแปลว่าประสบความสำเร็จ" แล้วยึด Price ว่าเป็น goal ของตัวเอง ว่าต้องขายให้ได้มากๆ  จึงนำไปสู่การทำทุกวิถีทางโดยไม่สนใจสภาพแวดล้อม คนรอบข้าง หรือ ผู้มารับบริการว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไร

.

สนเพียงว่า “ยอดขาย” จาก Volum เพื่อจะนำไปสู่ price เอามาโถมเพื่อเติมเต็มความพร่องของใจ  ซึ่งโถมเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเต็ม เพราะความหิวโหยที่เกิดจากกิเลสคือความโลภนั้นกินเท่าไหร่ก็ไม่เคยอิ่ม

.

แต่กลับมี "มิจฉาทิฎฐิ" มองว่า “คุณค่า” หรือ “value” ว่าเป็นของที่กินไม่ได้และเป็นเพียงมายาอุดมคติซึ่งไม่มีอยู่จริง  แล้วเหน็บแนมว่า “Value กินไม่ได้ แต่ Money สิกินได้”

.

ซึ่งก็จริงในมุมของคนที่มีเงินเป็นที่อยู่ของใจ หรือ “ภูมิใจในเงิน” 

.

บางครั้ง price กับ value ก็คล้ายกันมาก เช่น ทองคำ  ซึ่งคนอาจทั้งมองว่ามันมีทั้ง price และ value

.

แต่ถ้าจะให้เข้าใจเรื่องนี้ คงต้อง "เอาทองคำไปทำดอกไม้" เกิดเป็น "ดอกไม้ทองคำ" พอเรียกชื่อย่อให้สั้นลง กลายเป็นคำด่า  เพราะหมายถึง เป็นคนที่มีแต่คนอยากจะได้ อยากจะเอา เพราะมีราคา แต่ไม่มีคุณค่าอะไร   นี่คือคำด่าที่แยบยลของคนโบราณที่เข้าใจเรื่อง price กับ value มาตั้งแต่โบราณกาลนานมาแล้ว

.

ต่างจากดอกไม้จริง แม้ไม่ได้มีราคาเท่ากับดอกไม้ทองคำ แต่ก็มีคุณค่าต่อจิตใจ

 

.

ดอกบัวไหว้พระ

.

ดอกมะลิสดร้อยพวงมาลัยกราบแม่หรือไหว้ผู้ใหญ่

.

ดอกกุหลาบช่อโตสดๆให้คนรักในวันวาเลนไทน์

.

ดอกไม้สดๆสวยๆหอมๆ ให้คนป่วยในโรงพยาบาลเป็นกำลังใจให้สดชื่นหายป่วย

.

หรือแม้แต่ดอกหญ้าดอกเดียว ก็ยังทำให้ คู่รักที่กำลังโกรธกันอยู่นั้น หายโกรธได้ในพริบตา

 

.

นี่คือของบางสิ่ง มี value มาก แต่ price อาจะไม่สูงมากก็ได้

.

เรื่องนี้ไม่มีใครถูกหรือใครผิด เพราะ ถูกผิดนั้นอยู่ที่บริบทของผู้มอง ซึ่งเป็น “ภูมิของใจ”

.

ถ้ามองในมุมนักธุรกิจ  ก็คงจะสนใจเพียง  ตัวเลข  อะไรก็ได้ที่ทำให้ตัวเลขเป็นบวกเยอะๆแปลว่าดี  ติดลบแปลว่าไม่ดี  ขนาดติดลบกำไรยังไม่ดีเลย

.

ถ้ามองในมุมของศิลปิน  ก็คงจะสนใจเพียง อารมณ์และความรู้สึก ติดลบก็ไม่ได้สนใจว่าจะขายได้หรือไม่ได้ ขายถูกหรือขายแพง ขอเพียงให้ได้ทำงานศิลปะที่ชอบ

.

ถ้ามองในมุมของนักเดินทาง ก็คงจะสนใจเพียงแค่ ประสบการณ์ใหม่ที่ได้จากการเดินทางค้นหาโลกกว้าง ก็ดีมากพอ 

.

ผมมีเพื่อนนักเดินทาง ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่  ในการหาประสบการณ์จากการเดินป่า ทั้งผืนแผ่นดินไทยและทำงานเพื่อนำไปเป็นปัจจัยในการเดินทาง

.

ผมเชื่อว่าเขาเป็นคนมีกำไรชีวิตเยอะกว่าเศรษฐีหลายคนรวมถึงผม(ซึ่งไม่ใช่เศรษฐี)ด้วย

.

เรื่องป่าลึกๆ ทุกแห่งในประเทศไทย ผมเชื่อว่าเพื่อนคนนี้ ไปมาน่าจะเกือบหมดแล้ว

.

ใช้ชีวิตคุ้มขนาดนี้  ตายไปก็ไม่เสียดาย

                                                                                                                                                                                                                                     cr.FB/หม่อม ถนัดดอย

เขาคือ  “ปัณณวิช คิดว่อง” (หม่อม ถนัดดอย) เพื่อนผมสมัยเรียน มัธยมต้น ที่ ร.ร.บางบัวทอง นั่นเอง ลองไปส่องชีวิตเขาดู  ผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนี้เขามีความทุกข์บ้างหรือเปล่า (ขออนุญาตเพื่อนด้วย)

.

และผมไม่มั่นใจว่า ถ้าจะเอาเงินไปกองให้เพื่อนคนนี้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ตนโต๊ะแคบๆ เขาจะยอมแลกกับชีวิตเขาหรือเปล่า

.

ดังนั้นศิลปินกับนักเดินทาง จึงอาจเข้าใจกันและกันได้ แต่อาจไม่เข้าใจนักธุรกิจว่าทำไปทำไมให้ทุกข์ ทำไปทำไมให้เหนื่อย เพราะสลึงเดียวตายก็เอาไปไม่ได้  

.

ทำงานทั้งชีวิต  กะแก่แล้วสบาย   แต่ได้ไปสบายก่อนแก่ เพราะคนเมาขับรถชนตาย อย่างนี้ก็มี เส้นเลือดในสมองแตกก็มี หัวใจล้มเหลวก็มี ไม่มีใครรู้

.

แล้วทำไมไม่สุขเสียตั้งแต่วันนี้ 

.

นักธุรกิจ ก็คงมองว่า ศิลปิน กับ นักเดินทาง เป็นพวกบ้า ใช้เวลาไร้สาระ ไร้ประโยชน์

.

การเดินในแต่ละเส้นทางจึงเป็นการมองโลกหรือการให้คุณค่าในบริบทของตน หรือ ที่ตั้งของความภูมิใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ทำให้พฤติกรรม หรือ การกระทำของแต่ละคนนั้นไม่ต่างกัน

.

แต่นั่นเป็นเรื่องของ นักธุรกิจ  นักเดินทาง และ ศิลปิน

.

แล้วทัศนมาตรหล่ะ ใน 3 กลุ่มนั้น อยากเป็นใครดี

 

.

เป็นนักธุรกิจ ที่ไม่สนใจอะไรมากไปกว่า ตัวเลขของผลประกอบการ ขังตัวเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ทำงาน 24 ชม. สัปดาห์ละ 7 วัน และมองศิลปินเป็นพวกเพ้อฝัน มองนักเดินทางเป็นพวกไร้สาระ เสียเวลาสิ้นดี  

.

เป็นนักเดินทาง  ที่พอมี พอกิน พอใช้ ให้เวลาส่วนใหญ่กับการหาประสบการณ์ใหม่ๆของโลกกว้าง แล้ว enjoy กับชีวิตที่พ่อแม่ให้มาซะ  ชีวิตมีอะไรให้เรียนรู้เยอะแยะ 

.

เป็นศิลปิน  ที่ดื่มด่ำอยู่กับการประกอบโรคศิลปะของศาสตร์ทัศนมาตร เสพสุขที่เกิดขึ้นจากคำขอบคุณของคนไข้ที่ชื่นชมผลงานศิลปะจากการแก้ไขปัญหาสายตาให้กับเขา แล้วนำความสุขไปเป็น passion ในการสร้างงานศิลปะชิ้นต่อไป

.

เมื่อนักธุรกิจมองเห็นป่าดงดิบ  เขาจะคิดว่า จะถากถางอย่างไร เพื่อการเพาะปลูก แล้วขายให้ได้ราคา โดยไม่ต้องไปสนว่า ธรรมชาติจะอยู่กันอย่างไร เอาแค่ฉันกับครอบครัวฉันอิ่มเป็นพอ  ครอบครัวลิง ค่าง บ่าง ชะนี ก็ช่างมัน

เหมือนในหนังเรื่อง Avatar เพราะเขาเชื่อว่า ทรัพยากรจักรวาลต้องเป็นของมนุษย์ ทุกสิ่งต้องเป็นของเขาและต้องยึดทรัพยากรจักรวาลมาเป็นของตน   

.

เพราะนักธุรกิจสนใจแค่แร่ Unobtainium กิโลกรัมละ 20 ล้านเหรียญ/กิโลกรัม  โดยไม่สนว่า วิถีของชนเผ่านาวี บนดาว แพนโดรา จะมีวิถีความสัมพันธ์ของธรรมชาติอย่างลึกซึ้งอย่างไร

.

แต่เมื่อศิลปิน มองเห็นป่า เขาคิดว่าจะคงรักษาผื่นป่าให้เป็นที่อยู่ของสิงสาราสัตว์ต่อไปให้นานเท่านานได้อย่างไร เพราะเขาเชื่อในความหลักหลายของชีวภาพแบบ Diversity  เหมือน ดร.เกรซ ในหนัง Avatar

.

ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้

.

แต่ผม เป็นอย่างหลัง คือ “ทางเดินของศิลปิน”

.

เพราะภูมิซึ่งเป็นที่พักของใจของผมนั้นอยู่ที่การสร้างคุณค่า สร้างศิลปะให้กับงานทัศนมาตร ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อคนไข้ต่อตัวเองและแก่วิชาชีพโดยรวม และความสุขผมก็อยู่ที่นี่

.

ที่ลอฟท์ ออพโตเมทรี

.

เพื่อจรรโลกโลกของวิชาชีพที่ถูกทำร้ายจนเศร้าหมอง ให้กลับมามีชีวิต สดใสขึ้นมาอีกครั้ง

.

เกินไหมหรือเปล่าที่ว่าวิชาชีพถูกทำจนเศร้ามอง

.

เรื่องนี้ผมคงไม่ตอบ  แต่จะขอถามกลับว่า ท่านเองรู้สึกอย่างไร หรือ คิดว่า คนไทยส่วนใหญ่ รู้สึกอย่างไรกับคำว่า

.

"คนขายแว่นตา"

.

ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่รู้สึก Negative

.

เพราะอะไร ??....คนส่วนใหญ่จึงมีทัศนคติเชิงลบ ต่องานที่เกี่ยวกับแว่นตา

.

ทั้งๆที่ทุกคนมีปัญหาสายตา

.

ทั้งๆที่ทุกคนต้องการแว่นตา (เมื่อถึงวัยหนึ่ง) ทั้งๆที่ทุกคนอยากได้แว่นตา เพื่อใส่ให้ชัด มองโลกสวย ใส่กันแดด หรือแม้แต่ใส่เอาเท่

.

แต่เราก็ “อคติ” กับคำว่า "แว่นตา" หรือรู้สึกว่าเป็นคำที่ negative ทำไม ???

.

เพราะมันมีคนทำมันจนเสีย ทำจนไม่มีคุณค่า ทำจนมันไม่เหลือราคาให้ภาคภูมิใจ คำนั้นคือ

.

แว่นตาโปรโมชั่น ลด 30-80 %  

.

และเป็นการลดแบบ “อะกาลิโก” คือ ลดได้ไม่จำกัดกาล หรือ จำกัดเทศกาล

.

ลดวันพ่อ ลดวันแม่ ลดวันพระ ลดวันเข้าพรรษา ลดวันโกน

.

ลด(แม่ม)ทุกวัน !

.

ประหนึ่งว่าเป็นคนจิตใจดี  แต่ทุกคนก็รู้ว่าจุดประสงค์แท้จริงนั้นคือสิ่งใด

.

เพราะเท็จจริงแล้วจะ ซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ราคานี้แหล่ะ

.

กลายเป็นธุรกิจแว่น เป็นธุรกิจที่ไม่มีความจริงใจ โกหกพกลม

.

กลายเป็นธุรกิจเกษตรกรรม คือ “ธุรกิจเลี้ยงแกะ”

.

นี่คือเหตุของ negative feeling  ที่เกิดขึ้นกับคำว่า “ธุรกิจแว่นตา”

.

จึงไม่แปลกใจที่  พ่อแม่ผู้ปกครองญาติพี่น้องรวมถึงเพื่อนๆผมทุกคน  ไม่มีใครเห็นด้วยกับการที่ผมเข้ามาเรียนทัศนมาตร เพราะเขาไม่เข้าใจว่าทัศนมาตรคืออะไร เข้าใจผิดไปว่า ทัศนมาตร เรียนจบออกมาขายแว่น 

.

สรุปว่ามันพังจาก “นักธุรกิจ” ที่ไม่สนใจอะไรมากไปกว่า ตัวเลข และ ยอมพังทุกอย่างเพื่อให้ตัวเลขให้ตัวเองมียอดเข้าเป้า

.

ขวางทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องดีงาม เช่นการมีกฎหมายที่จะให้ประชนได้รับบริการที่ดี โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสายตาจริงๆ

.

ด้วยเหตุนี้ ผมถึงเลือกทางของศิลปิน

.

แม้รู้ว่าทางนี้นั้นไส้แห้งเพราะใครๆก็รู้ว่า "ศิลปิน...(ส่วนใหญ่) ไส้แห้ง"    

.

แต่ความสุขใจ...ไม่มีใครเกินศิลปิน

.

เพราะสุขจากการมองโลกเชิงสร้างสรรค์และอยากจะช่วยแต่งเติมสีสันให้กับโลกให้สวยงามกว่าที่เป็น

.

แม้ว่า งานของทัศนมาตร จะต้องมีเรื่องบางส่วนที่ไปเกี่ยวข้องกับคำว่า “แว่น” ซึ่งเป็นคำที่เสียไปแล้ว

.

แต่เนื้อแท้นั้นไม่เหมือนกัน  เพราะการขายแว่น กับ การจ่ายค่าสายตานั้นไม่เหมือนกัน

.

แว่นก็คือวัตุถุชิ้นหนึ่ง แต่การจ่ายค่าสายตาเป็นงานศิลปะ  คุณค่ามันจึงต่างกัน เห็นโลกสวยงามต่างกัน แม้จะเรียกว่า “แว่น” เหมือนกันก็ตาม

.

ผมจึงมีความภาคภูมิใจในงานทัศนมาตรที่ทำนี้อยู่ทุกวัน แม้คนส่วนใหญ่จะยังไม่เข้าใจก็ตาม

.

ผมคิดเสมอว่า “Loft Optometry,Not Just place for shopping eyewear, but  visual problem discovering place to treat any visual problem with best solution and reasonable with out cheating promotion”

.

ครั้งหนึ่ง

.

เมื่องานประชุมวิชาการสามัญทัศนมาตรประจำปี 2018 มีกวีชุดหนึ่ง ที่ดอกเตอร์ท่านหนึ่งซึ่งมาเป็นวิทยาการ ฉายขึ้นไปบนสไลด์

.

เป็นประโยคสั้นๆ แต่ทำให้ผมมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้น

.

แม้ความจริงเราก็เข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำอยู่แล้ว แต่ไม่รู้จะขมวดหรือสรุปให้คนทั่วไปฟังได้อย่างไร ว่าวิชาชีพทัศนมาตรต่างจากวิชาชีพหมอทั่วไปอย่างไร

.

กวี..ชื่อบทว่า "Enough Reason to be Proud"

เขาเขียนว่า


 

แปลความได้ว่า

.

เหตุผลเพียงพอที่ทำให้ฉันภูมิใจ (ในวิชาชีพทัศนมาตร)

.

ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาคือ Optometrist ขณะที่ Ophthalmologist คือหมอรักษาตา (eye MDs)

.

ในบางครั้ง เมื่อคนๆหนึ่งต้องการรักษาพยาธิที่เกิดขึ้นที่ดวงตาจะปรารถนา Ophthalmologist แต่จะปรารถนา Optometrist เพื่อแก้ปัญหาสายตาและระบบการมองเห็น

.

Ophthalmologist รักษาด้วยยาและการผ่าตัด เพื่อให้การมองเห็นนั้นกลับมา (to restore vision) ขณะที่ Optometrist รักษาและแก้ปัญหาสายตาให้ถูกต้องเพื่อให้เกิดความคมชัดและเค้นประสิทธิภาพการมองเห็นให้ทำงานสมบูรณ์สูงสุด (to Enhance vision)

.

ฉันคือ Optometrist ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการมองเห็น และด้วยเหตุเหล่านี้ ก็เพียงพอที่ฉันจะภาคภูมิใจในทัศนมาตร"

.

ผู้ประพันธ์ -Dr.Charlie

.

ผมอ่านเสร็จ..ถึงกับขนลุก  มันเหมือนคนที่กำลังหานิยามให้ตัวเองอยู่ ว่าจะสื่อสารอย่างไรให้คนเข้าใจทัศนมาตร อย่างสั้น กระชับ และครอบคลุม

.

กวี..นี้เขียนออกมาได้ชัด สรุปได้ดี  สั้น เข้าใจได้ง่าย เข้าใจถึงความจำเป็นในการที่จะต้องมี Optometrist และ Ophthalmologist ในการทำงานร่วมกัน ในการช่วยกันดูแลสุขภาพตาของประชาชนนั้นดีทั้งในเรื่องของสุขภาพและระบบการมองเห็น

.

มีบทความโดย David A. Goss, O.D., Ph.D. ที่เขียนเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างหน้าที่การทำงานของ Optometrist และ Ophthalmologist ซึ่งสรุปได้ดีเช่นกัน คร่าวๆว่า

.

จุดเริ่มต้นของวิชาชีพ  ทั้งหมอทัศนมาตร และ หมอทั่วไปนั้น มีพื้นฐานของการเริ่มต้นและมีวิวัฒนาการของวิชาชีพบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ที่ต่างกัน

.

ทัศนมาตร (optometry) เริ่มจาก วิทยาศาสตร์เชิงแสง (optical science)  ,สันนิษฐานว่าเริ่มจากคนที่ทำงานเกี่ยวกับ Jewery เนื่องจากช่างเจียร์เครื่องประดับมีอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำแว่นตา

.

แพทย์ (medicine) เริ่มจาก วิทยาศาสตร์เชิงชีวภาพ ( Biological Science)  สันนิษฐานว่าเริ่มต้นวิชาชีพจาก ช่างตัดผม เนื่องจากมีอุปกรณ์พื้นฐานเบื้องต้นที่สามารถผ่าตัดได้

 

ความเชี่ยวชาญที่ต่างกัน

.

ทัศนมาตร เชี่ยวชาญเรื่องฟิสิกส์เกี่ยวกับแสง (optical science) ,การหักเหของแสง(refraction) ,วิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น(vision science),ปัญหาการทำงานร่วมกันของสองตาที่ไม่ใช่ตาเหล่(non-strabismus binocular anomalies) และปัญหาการทำงานของระบบการเพ่งของเลนส์ตา(accommodation system)

.

มีปริญญาสูงสุดเป็นของตัวเองคือ Doctor of Optometry,ODs

.

แพทย์  เชี่ยวชาญเรื่องกายภาพ(anatomy) การผ่าตัด(surgery) ระบบการทำงานของร่างกาย(physiology)  ยา(drug) พยาธิสภาพ(Disease)

.

มีปริญญาสูงสุดเป็นของตัวเองคือ Doctor of Medicine ,MDs

.

กฎหมายทัศนมาตรในอเมริกานั้นมีมานานกว่า150ปี

 

ปัจจุบัน Optometrist ในอเมริกา จึงมีกฎหมายรองรับและสามารถจ่ายยารักษาโรคตาเบื้องต้นได้

.

Optometristในอเมริกาจ่ายยาได้อย่างไร

 

อเมริกานั้นเป็นประเทศที่มีเนื้อที่ใหญ่มีประชากรมาก และกระจายอยู่ตามรัฐต่างๆ  แต่ละรัฐนั้นก็กว้าง ในการเดินทางระหว่างรัฐกับรัฐนั้นต้องใช้เวลานานมาก

.

ในการกระจายตัวของ Optometrist ไปตามเมืองเล็กๆนั้นทำได้ง่ายกว่า Ophthalmologist เนื่องจากอุปกรณ์ในการทำงานของ Optometrist นั้นเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่สามารถหามาได้ง่ายกว่า

.

ในขณะที่ Ophthalmologist ต้องการห้องผ่าตัด ต้องการเครื่องมือที่มีขนาดใหญ่ ทำให้การกระจายนั้นตกหดอยู่เฉพาะในตัวเมือง ในขณะที่เคสผ่าตัดใหญ่ๆกับมาไม่มากเท่ากับเคสโรคง่ายๆพื้นฐาน    

.

ดังนั้นในการส่งต่อคนไข้ที่มีโรคตาเล็กน้อย ไปเมืองใหญ่ๆนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเสียเวลา และเสียทรัพยากรมาก และบางครั้งก็ดูแลไม่ทัน หรือดูละเอียดไม่ได้ เนื่องจากจำนวนคนไข้ที่เป็นโรคตาแดง หรือติดเชื้อเล็กน้อยนั้น มีผสมอยู่มาก ทำให้คนที่เป็นโรคหนักๆนั้น บางครั้งหลุดจากการวินิจฉัย หรือต้องไปซ้ำบ่อยๆ กว่าจะเจอความผิดปกติที่แท้จริง และบางครั้งก็รักษาไม่ทัน เพราะการเดินทางที่ลำบาก ทำให้ประชาชนเพิกเฉยที่จะรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

.

Optometrist นั้นใช้เวลา 6 ปี ตั้งแต่เรียน basic science ในช่วงปีแรก  pre-optometry ในปีที่ 2 และ optometry science ในปีที่ 3-5 และ intern/extern clinic ในปีที่ 5-6  ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกายภาพของดวงตาและพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นกับดวงตา  สามารถใช้เครื่องมือพื้นฐานในการตรวจวินิจฉัยโรคตาได้อย่าง Slitlamp , ,Ophthalmoscope ได้ดีกว่าหมอ General Practice ,GP MDs  ทำให้ Optometrist เริ่มสนใจที่จะรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตาด้วยยา และนำไปสู่การพัฒนาวิชาชีพจนมีกฎหมายรองรับในการจ่ายยาเพื่อรักษาโรคตาได้ในปัจจุบัน

.

นั่นคือเรื่องราว Optometrist ที่เกิดขึ้นในอเมริกา ซึ่งสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากลิ้งที่แนบมา เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทัศนมาตรในอเมริกา http://www.opt.indiana.edu/people/faculty/graphics/goss/opthx.pdf

.

แต่ละอาชีพนั้น expert เฉพาะเรื่องที่แตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน คล้ายกับนักดนตรีที่เชี่ยวชาญเครื่องดนตรีไม่เหมือนกัน ต้องมาเล่นพร้อมๆกัน เสียงเพลงที่ออกมาจึงจะมีความไพเราะและมีพลัง

.

เราจะทนฟังเฉพาะเสียงกลองอย่างเดียว เฉพาะเสียงกีตาร์อย่างเดียว หรือเฉพาะเสียงนักร้องเพียงอย่างเดียว ได้นานแค่ไหนเชียว

.

ตรงกันข้าม เรารู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกินเมื่อได้ฟังดนตรีคุณภาพที่เล่นพร้อมกันทั้งวง และคงทิ้งไว้ซึ่งความสุขและความบันเทิงใจให้กับผู้ที่มาฟัง

.

เชื่อเถิดว่า เป็ดนั้น แม้จะทำได้ทุกอย่าง แต่ ไม่สามารถบินได้อย่างนก ว่ายน้ำได้อย่างปลา หรือวิ่งได้เหมือนม้า คนเราจะ prefect ทุกเรื่องนั้น เป็นไปได้ยาก

.

ปิดท้ายด้วยกฎหมายทัศนมาตร ในประเทศไทย ที่ไม่รู้จะออกมาอย่างไร แต่ผมมีความคิดเห็นว่า

.

ดาบอายาสิทธิ์ ก็คงอยู่ที่ผู้ใช้ดาบว่าจะนำไปใช้ได้ถูกต้องแค่ไหน เพราะถ้าใช้ไม่เป็นก็อาจเป็นภัยกับตัวได้หรือได้อานุภาพเพียงแค่ดาบไม้ไผ่

.

วันนี้ optometrist ยังไม่ได้ดาบอายาสิทธิ์อันนั้น ก็ใช้ดาบที่ได้มาจากโรงเรียน ให้ฉลาด หลักแหลม สงบ มีสมาธิ เหมือนซามูไร มูซาชิ แค่นี้ก็ดีมากพอ ดาบพื้นฐานก็อาจจะมีอิทธิฤทธิ์ไม่แพ้ดาบอายาสิทธิ์ก็ได้

.

ท้ายสุด

.

ชีวิตเป็นของทุกคน  มีอิสระเสรีในทางที่จะเลือกเดิน ก็ขึ้นอยู่กับจริตนั้นชอบแนวไหน

.

คุณค่า หรือ ราคา

.

คุณภาพ หรือ ปริมาณ

.

ดื่มด่ำกับสุนทรียะ ในการสร้าง value ให้กับตน สังคม และเพื่อนร่วมโลก

.

หรือเพลิดเพลินกับกลเกมส์ทางการตลาด เพื่อตัวเลขผลประกอบการ

.

กระเพาะที่อิ่มแน่นจนจุกท้อง ก็ไม่มีค่าอะไรถ้าไม่อร่อยในรสอาหาร บางครั้งยังรู้สึกเสียดายความหิว

.

อาหารอร่อยเพียงเล็กน้อย แม้ไม่อาจอิ่มท้อง แต่อาจอิ่มอกอิ่มใจไปนานแสนนาน

.

ปริมาณไม่ได้บอกอะไร  คุณภาพต่างหากที่เป็นตัวบอก

.

จำนวนประชาการไม่ได้บอกอะไร  คุณภาพประชากรต่างหากที่บอก

.

ไม่ว่าเธอจะเลือกเดินในทางใด ก็ขอให้สิ่งหนึ่งมีในหัวใจคือ วิชาชีพ และ เพื่อนร่วมวิชาชีพ

.

หากไม่มีวิชาชีพ เธอย่อมไม่มีตัวตนเช่นกัน

.

การทำลายวิชาชีพก็เหมือนกับการทำลายบ้านตัวเอง

.

แต่ถ้าเธอไม่รักวิชาชีพ ไม่ใช่ว่าเธอมีสิทธิ์จะทำลายมัน

.

เพราะวิชาชีพ ไม่ใชของเธอคนเดียว

.

ช่วยกัน

.

อย่าทำให้ “ทัศนมาตร” กลายเป็นชื่อที่เกิด negative อย่างที่เกิดกับคำว่า “แว่นตา”

.

หากคำพูดใดฟังแล้วระคายเคืองหู ก็ขอให้คิดว่า เป็นเพียงมุมความคิดหนึ่งเล็กๆเท่านั้นพอ

.

แต่หากว่ามุมความคิดนี้ สามารถเข้าไปกระตุกหัวใจของใครบางคนได้ ผมก็รู้สึกดีใจ

 

ขอบพระคุณทุกท่านที่อ่านจนจบ

 

สวัสดีครับ

ดร.ลอฟท์