การเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาในแต่ละช่วงอายุ
Refractive error changes relative to age

ตอนที่ 1 การเปลี่ยนแปลงค่าสายตาในวัยเด็กเล็ก 1-5 ขวบ

เขียนโดย Foo, Say Kiang ,Faculty of Optometry & Vision Sciences SEGi University 
ตีพิมพ์ ; SEGi Review ISSN: 1985.5672 (Vol.9, December 2015)

แปลโดย ดร.ลอฟท์ ,21 February BE 2562

 

บทคัดย่อ 

ความผิดปกติของสายตา หรือ refractive error นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงอายุคน ตั้งแต่วัยทารก (infancy) ไปจนถึงวัยชรา (late adulthood)  จากการศึกษาพบว่า เด็กทารก (infancy) และเด็กเล็ก (childhood) เป็นช่วงของการเป็นสายตายาว (hyperopic state) และช่วงอายุที่มีการเปลี่ยนแปลงค่าสายตามากที่สุดคือช่วง 3-9 ปี และเป็นช่วงที่มีกระบวนการปรับค่าสายตาที่ผิดปกติให้เป็นสายตาปกติตามธรรมชาติ เรียกกระบวนการนี้ว่า Emmetropization และพบว่ามีความสัมพันธ์กับการยาวขึ้นของกระบอกตา (axial length elongation) อย่างมีนัยสำคัญ  

 

จากงานศึกษายังพบต่อไปว่า ค่าสายตาเอียงสูงๆ (high astigmatism) มักเกิดขึ้นในช่วงทารกแรกเกิด (infacncy) และสายตาเอียงจะค่อยๆลดลงอย่างรวดเร็วภายในช่วงปีแรกและลดลงเรื่อยๆจนแทบจะปกติเมื่อเด็กโตขึ้นจนถึงวัยเรียน (school-age) 

 

การเพ่ิมขึ้นของสายตาสั้นหรือลดลงของสายตายาว จะเกิดขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตามีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมและปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม แต่ค่าสายตาเอียงในเด็กวัยเรียนค่อนข้างคงที่  

วัยที่มีสายตาคงที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงอายุอื่นคือผู้ใหญ่ตอนต้น (young adults) ซึ่งวัยนี้ถ้าจะเกิดสายตาสั้นขึ้นมาหรือค่าสายตาสั้นมีการเปลี่ยนแปลง มักจะมีสาเหตุมาจากความยาวที่เพิ่มขึ้นของช่องวุ้นในลูกตา (vitreous chamber elongtion)   

 

hyperopic shift  ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของสายตายาวไปในทางเพิ่มขึ้นหรือสายตาสั้นที่ลดลง มีสาเหตุความเป็นไปได้จากกำลังของเลนส์แก้วตาที่ลดลงและเนื้อของเลนส์ตามีความหนาแน่นขึ้นตามอายุที่่มากขึ้น (เนื่องจาก lens fiber มีการสร้างตลอดชีวิต ทำให้ความหนาแน่นของ lens fiber มีมากขึ้น และเลนส์มีขนาดใหญ่ขึ้น ความโค้งของเลนส์ลดลง จึงมีกำลังหักเหลดลง เกิด hyperopic shift -ผู้แปล)  

 

ส่วนเรื่อง myopic shift (สายตากลับ-ผู้แปล) เกิดขึ้นในคนที่อายุมากที่เริ่มเป็นต้อกระจกชนิด nuclear cataract และมีแนวโน้มว่าคนที่อายุมากขึ้นมีอัตราการเป็นสายตาเอียงที่มากขึ้น โดยแกนขององศาเอียงนั้นเป็นแบบ Againt the Rule (คือองศานั้นอยู่ในแกน 90 (+/-15) องศา-ผู้แปล) 

 

Keyword - Emmetropia ; myopic shift ; hyperopia shift ; astigmatism 

 

บทนำ (Introduction)

    ความบกพร่องของระบบการมองเห็น (visual impairment) ทั่วโลกนั้นมีสาเหตุอันดับหนึ่งมาจากปัญหาสายตาที่ไม่ได้รับการแก้ไข (Guidmundsdottir et al., 2005)  ปัญหาสายตาซึ่งเกิดจากระบบหักเหแสงของดวงตาที่ทำให้ตำแหน่งโฟกัสคลาดเคลื่อนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงอายุขัย (Saunders, 1981). ดังนั้นเราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงอายุ เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจในการจ่ายค่าสายตาให้ได้ค่าที่เหมาะสมและวางแผนในการดูแลปัญหาสายตาได้ดียิ่งขึ้น 

    มีงานศึกษาวิจัยมากมายเกี่ยวกับการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาที่มีความสัมพันธ์กับอายุตั้งแต่วัยเด็กทารกจนไปถึงวัยชรา ซึ่งมีทั้งการศึกษาแบบเจาะจงในแต่ละวัยในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง (cross-sectionally) เช่นงานศึกษาของ Brown, 1938; Slataper, 1950; Saunders, 1981 และงานศึกษาที่ติดตามเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงอย่างต่อเนื่องตามอายุที่เพิ่มขึ้น (longitudinally) เช่นงานของ Goss & Cox, 1985; Saunders, 1986

 

    สาเหตุที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงค่าสายตาในแต่ละช่วงอายุนั้นปัจจุบันยังไม่เป็นที่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร แม้อาจมีความเป็นไปได้ว่า มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ (biological) ในร่างกายในแต่ละวัยเช่น กำลังหักเหของกระจกตาเปลี่ยน หรือความยาวของลูกตาเปลี่ยน (Ishii et al., 2013; Zadnik et al., 1993; Goss et al., 1985; Goss & Erickson, 1987; Grosvenor & Scott, 1991; Grosvenor & Scott; 1993; McBrien & Adams, 1997; Lin et al., 2001; Pan et al., 2012) 

ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาให้ดียิ่งขึ้น เราจะต้องแบ่งช่วงอายุออกมาเป็น 4 ช่วงหลักๆ ก็คือ 

1.ทารกและเด็กเล็ก (infancy and early childhood)  แรกเกิด-5ขวบ

2.วัยเรียน (school-aged) อายุ 6-18 ปี  

3.ผู้ใหญ่ตอนต้น (young adulthood) อายุ 20-40 ปี 

4.ผู้ใหญ่ตอนปลาย (late adulthood) อายุมากว่า 40 ปี 

(ซึ่งในตอนที่ 1 นี้ผมจะแปลเฉพาะในส่วนของการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาในช่วงเด็กทารกและเด็กเล็กก่อน-ผู้แปล)

    จากการศึกษาของ Saunders (1986) พบว่าเมื่อเราทำการเปรียบเทียบความผิดปกติของสายตาของแต่ละช่วงวัย เราพบว่าความผิดปกติของสายตานั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงอายุและมีงานวิจัยที่ทำการศึกษากลุ่มทดลองอย่างต่อเนื่อง ได้ผลออกมายืนยันตรงกันและทำให้เราเข้าใจว่า ความผิดปกติทางสายตานั้นมีความสัมพันธ์กับอายุโดยตรง  ซึ่งผลจากการศึกษานี้ ช่วยให้เราสามารถเลือกวิธีหรือแนวทางในการป้องกัน รักษา แก้ไขปัญหาสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาสายตาด้วยการผ่าตัด (เช่นทำ Lesik -ผู้แปล) ว่ามีช่วงเวลาที่เหมาะสมและมีความจำกัดของช่วงเวลาในการทำ (Xu et al., 2005) (ดังนั้นหมอถึงทำ lesik ให้กับผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาน้อยที่สุด นั่นก็คือต้องโตเต็มวััยแล้ว คือมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เพื่อให้การรักษานั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด-ผู้แปล)

 

ทารกแรกเกิดและเด็กเล็กก่อนเข้าโรงเรียน
(Infancy and early childhood)

    งานวิจัยหลายๆงานออกมาตรงกันว่า ช่วงวัยเด็กทารกแรกเกิดและวัยเด็กก่อนเข้าโรงเรียนนั้นส่วนใหญ่เป็นช่วงที่สายตาเป็นสายตายาว (hyperopic state) (Wood et al., 1995; Edwards, 1991; Hopkinson et al., 1992; Blomdahl, 1979; Mayer et al.,2001) โดยมีค่าเฉลี่ยของสายตาตั้งแต่ +0.50 ถึง +3.00D และสายตายาวเริ่มลดลงกลายเป็นสายตาสั้น (myopic shift) เมื่อผ่านขวบปีแรกไปแล้ว (Wood et al., 1995; Edwards, 1991; Mayeret al., 2001; Mutti et al., 2005; Zadnik, 2003; Mutti, 2007) โดยจากงานวิจัยของ Edwards (1991) พบว่าเด็กที่มีอายุในช่วง 10 ถึง 40 สัปดาห์หลังคลอด มีการลดลงของค่า mean spherical equilvalent อย่างรวดเร็วในช่วงนี้  (แปลผลว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ สายตายาวมีการลดลงอย่างรวดเร็ว - ผู้แปล)

    การเปลี่ยนแปลงของค่าของสายตา (refractive error change) ที่เกิดขึ้นในเด็กทารก (infancy) และเด็กเล็ก (early childhood) เราเชื่อว่าเป็นการปรับธรรมชาติของร่างกายเพื่อให้สายตากลับมาปกติ หรือกระบวนการ Emmetripization ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีหลังจากแรกเกิด (Saunders et al., 1995; Ehrlich et al., 1995) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นทั้งในเด็กที่มีความผิดปกติเป็นสายสั้น (myopic) และสายตายาว (hyperopic)  

    ช่วงที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาอย่างเห็นได้ชัดคือช่วงปีแรกหลังคลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัย 3-9 เดือน (Goss & West,2002; Mutti et al., 2004)  ซึ่งเราเชื่อว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่มีกระบวนการ Emmetropization เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (Troilo, 1992; Wildsoet,1997)  และเป็นไปได้ว่าการที่เด็กทารกเป็นสายตายาว ทำให้เกิดโฟกัสตกหลังจุดโฟกัส ( hyperopic focus ) ซึ่งโฟกัสลักษณะนี้อาจเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้กระบอกตามีการยืดยาวออกไปทำให้ตาโตขึ้นและถ้าระหว่างขั้นตอนนี้ เกิดมีความผิดปกติหรือมีรอยโรคที่ไปทำให้แสงไม่โฟกัสในลักษณะนี้ก็จะไม่มีตัวไปกระตุ้นให้กระบอกตายาวหรือโตขึ้น อาจทำให้เกิดการขัดขวางของกระบวนการ Emmetropization ได้ (Napper et al., 1995; Smith et al., 2002). 

     การลดของของสายตายาวในเด็กทารก มีความสัมพันธ์กับกระบอกตาที่ยาวขึ้นเป็นสำคัญ (axial length elongation) แต่ไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้องแบบมีนัยสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของกำลังหักเหของกระจกตาหรือเลนส์แก้วตา แม้จะพบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงของกระจกตาและเลนส์ตาในช่วง Emmetropization นี้ก็ตาม (Mutti et al., 2005; Ishii et al., 2013).

     ค่าเฉลี่ยของค่าสายตาในเด็กทารก (spherical equivalent) ได้จากการวัดค่าสายตาแบบหยอดยา (cycloplegic refraction) และพบว่ามีค่าสายตาเฉลี่ยที่ +2.00D เมื่ออายุ 3 เดือนแรก และลดลงจนเหลือ +1.00 ถึง +1.50D ในช่วงขวบปีแรก (Wood et al., 1995; Mutti et al., 2005)

    พบว่าในเด็กทารกนั้นส่วนใหญ่มีความผิดปกติของสายตาเอียง (Mayer et al., 2001; Mutti et al.,2004; Howland & Sayles, 1984),​ ซึ่งเป็นลักษณะปกติของเด็กทารกแรกเกิดและสายตาเอียงก็ลดลงเมื่อเด็กเริ่มโตขึ้น (Mutti et al., 2004; Ehrlich et al., 1997;Atkinson et al., 1980)  โดยเฉพาะในช่วงขวบแรกนั้น สายตาเอียงจะลดลงอย่างรวดเร็ว (Chan & Edwards,1993) และพบว่าความผิดปกติของสายตาเอียงที่พบในเด็กทารกนั้นไม่มีความสัมพันธ์กับกระบวนการ emmetropizatoin ของความผิดปกติสายตาสั้นยาว (spherical error) (Mutti et al., 2004). 

     มีบางงานวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่แล้วความผิดปกติของสายตาเอียงในเด็กเล็กขวบปีแรกส่วนใหญ่เป็นแบบ with-the-rule (Wood et al., 1995; Edwards, 1991; Saunders, 1988) และ Saunders, 1988 ศึกษาพบว่าเด็กแรกเกิดถึง 1 ขวบนั้นเป็นสายตาเอียงชนิด with-the-rule มากกว่า 70%  และค่าความผิดปกติของสายตาเอียงส่วนใหญ่นั้นน้อยกว่า -1.00 DC  (Wood et al., 1995) แต่ก็มีงานวิจัยที่ได้ผลต่างออกไป (Mayer et al.2001) พบเด็กขวบปีแรกส่วนใหญ่นั้นสายตาเอียงชนิด againt-the-rule ส่วนสายตาเอียงที่่มากเกิน -2.00DC นั้นพบได้น้อย ส่วน Mutti et al (2004) พบว่า เด็กแรกเกิดถึง 3 เดือนนั้นเป็น with-the-rule แต่เมื่ออายุ 36 เดือนจะกลายเป็น againt-the-rule 

     นอกจากนี้ยังมีรายงานพบว่า เด็ก 4 ขวบครึ่งนั้น ส่วนใหญ่เป็นสายตาเอียงชนิด with-the-rule เนื่องจากมีแรงกดจากเปลือกตาบนล่างทำให้กระจกตาในแนวนอนแบนลง (Gwiazda et al., 1984)

     พบว่าสายตาเอียงนั้นมีการลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องหลังจากเด็กมีอายุครบ 1 ปี (Wood et al.,1995) และเด็ก 1 ขวบที่มีสายตาเอียงมากว่า -1.00DC สายตาเอียงจะลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงขวบปีแรก จนกระทั่งอายุ 18 เดือน พบว่าเด็กที่มีสายตาเอียงเหลืออยู่น้อยกว่า 10% (Atkinson et al., 1980; Mohindra et al., 1978) 

     กระบวนการ Emmetropization ที่เกิดขึ้นในเด็กเพื่อแก้ความผิดปกติของสายตาเอียงนั้น (astigmatism) เกิดขึ้นต่อเนื่องอาจยาวนานถึง 36 เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการ Emmetropiazation เพื่อแก้ความผิดปกติของสายตาสั้นยาว (spherical equivalent) ซึ่งใช้เวลาเพียง 9 เดือน (Mutti et al., 2004)  และจากการเก็บข้อมูลทางกายภาพของเด็กพบว่าผิวเลนส์และผิวของกระจกตานั้นมีความโค้งที่สม่ำเสมอมากขึ้น มีความเป็น sphere มากขึ้นเมื่ออายุเพ่ิมขึ้น และสายตาเอียงก็ลดลงเมื่ออายุเพ่ิมขึ้นด้วย (Mutti et al., 2004)

 

 วัยเรียน
(school age)

     ต่อเนื่องจากวัยเด็กที่ได้กล่าวมา เมื่อเด็กมีการเจริญเติบโตขึ้น ความผิดปกติของสายตายาว (hyperopic) จะเริ่มลดลงจนถึงวัยเข้าเรียนโรงเรียน (school-age children)  และจาก การศึกษาพบว่า ยิ่งเด็กโตขึ้น ความเป็นสายตายาวจะลดลง ความเป็นสายตาสั้นจะเพ่ิมขึ้นมาแทน (Twelker et al., 2009; Dandona et al., 2002; Zadnik et al., 2002)

     พบความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงค่าสายตายาวมีความเกี่ยวข้องกับอายุ โดยพบว่าในเด็ก  5 ขวบ ซึ่งเป็นสายตายาวคิดเป็น 15.6% เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสายตายาวไปเป็นสายตาสั้นในเด็กโตอายุ 15 ปี คิดเป็น 10.8% (Murthy et al., 2002)

     ก่อนหน้านี้ก็มีงานศึกษาว่า โดยทั่วๆไปแล้วเด็กที่เป็นสายตายาวอยู่ สายตายาวจะลดลง แต่เด็กที่เป็นสายตาสั้นก็จะสั้นมากขึ้นและพบว่าในเด็กวัยเรียน (school-age children) อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาในแต่ละปีจะสูงขึ้น (Mantyjarvi, 1985)

     มีการศึกษาในอำเภอ Shunyi ของประเทศจีน ในเรื่อง myopic shift ซึ่งทำการศึกษาในเด็กอายุ 5-13 ปี พบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้นมีความสำพันธ์กับ การเป็นเพศหญิง อายุ และ ในเด็กที่มีสายตาสั้นหรือยาวสูงกว่ามาตรฐาน (Zhao et al., 2002).

     แต่อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่ได้ผลออกมาแตกต่างคือ ไม่พบความสัมพันธ์ของความผิดปกติสายตาว่าเกี่ยวข้องกับเพศว่าเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง แม้ว่าเด็กหญิงมีแนวโน้มที่จะมีกระจกตาที่โค้งมากกว่าเด็กชาย มีความโค้งของเลนส์ตาที่โค้งมากกว่า และมีกระบอกตาที่สั้นกว่า เมื่อเทียบกับเด็กชายก็ตาม  (Zadnik et al., 2002)

     อัตราของการเพ่ิมขึ้นของสายตานั้นเกี่ยวข้องกับลักษณะของเชื้อชาติอีกด้วย โดยพบว่าเด็กเอเชียในแต่ละช่วงอายุนั้นมีคนที่เป็นสายตาสั้นมากกว่าเด็กในยุโรป  (Twelker et al., 2009) และมีช่วงอายุที่เริ่มเป็นสายตาสั้นเร็วกว่าเด็กทางยุโรป (Williams et al., 2013; Lin et al., 2004)

    มีรายงานว่า จากการสำรวจพบว่า ในช่วงวัย 7-8 ขวบนั้นพบเด็กสายตาสั้นประมาณ 2 % แต่เมื่ออายุ 15 ปีพบว่ามีเด็กเป็นสายตาสั้นเพ่ิมขึ้นจากเดิมถึง 20% (Zadnik, 2003)

    การเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น มีอัตราการเพ่ิมที่สูงกว่าสายตายาว ด้วยสาเหตุหลักๆคือ มีความยาวของช่องวุ้นลูกตาที่ยาวขึ้น (vitreous chamber elongation) และ กำลังหักเหของ crystalline lens ที่ลดลง ในช่วงอายุ 6-12 ปี  (Zadnik et al., 1993)  

    เด็กที่มีกำลังหักเหของกระจกตามากกว่าและเด็กที่มีอัตราส่วนของ ความยาวลูกตา (axial length) ต่อรัศมีความโค้งของกระจกตา (corneal radius) หรือค่า AL/CR มากกว่าจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นสายตาสั้นมากกว่าในเด็กช่วงนี้ (Goss & Jackson, 1995)

     สายตาสั้นที่เกิดขึ้นตอนวัยเด็ก (childhood) จะเพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นจะช้าลง จนกระทั่งหยุดในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย (late teens)  (Goss & Winkler, 1983)

     อัตราการเพ่ิมขึ้นของสายตาสั้นในวัยเด็ก (childhood) ระหว่างเด็กชายกับเด็กหญิงนั้นใกล้เคียงกัน คือเด็กชาย -0.40 D/ปี และเด็กหญิง -0.43 D/ปี  (Goss & Cox, 1985). 

     อัตราการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมากกับ พันธุกรรม และ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น อายุ เพศ (Donovan et al., 2012) และ เชื้อชาติ (Twelker et al., 2009) ระยะเวลาต่อวันในการใช้สายตาดูใกล้ (Saw et al., 2001; Saw et al.,2002) และ กิจกรรมกลางแจ้ง (Guggenheim et al., 2012; Guo et al., 2013; Goss, 1998) 

     การเริ่มเป็นสายตาสั้นและการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น อาจมีความสำพันธ์กันโดยตรงกับการเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ (Yip etal., 2012; Hyman et al., 2005)

     ส่วนค่าการเปลี่ยนแปลงของสายตาเอียงในวัยเรียนนี้ค่อนข้างน้อยและคงที่ (Chan & Edwards, 1993)  การเปลี่ยนแปลงของสายตาเอียงในเด็กอายุ 5-13 ปี เกือบเป็น 0 จากการสำรวจต่อเนื่อง 28 เดือน (Zhao et al., 2002)

     มีงานศึกษาเกี่ยวกับสายตาเพียง พบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของสายตาเอียงนั้นเล็กน้อย ประมาณ 0.03 ถึง  0.06 D/ปี (Goss & West, 2002) และมากกว่า 80 % ของเด็กอายุ 6 ถึง 17 ปี เป็นสายตาเอียงชนิด with the rule  (Rezvan et al.,2012)

(จบตอนแรก)

 

สรุปงานวิจัยในตอนแรก 
(summary)

   สายตานั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงอายุ แต่อัตราความเร็วของการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงอายุนั้นไม่เท่ากัน ทำให้เราต้องแบ่งคนออกเป็นช่วงอายุต่างๆ เพื่อให้เห็นทิศทางของการปรับตัว  ซึ่งกลุ่มอายุนั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ เด็กทารก-เด็กเล็ก , เด็กวัยเรียน ,ผู้ใหญ่ตอนต้น ,และผู้ใหญ่ตอนปลาย ซึ่งแต่ละช่วงวัยนั้นมีทิศทางของการเปลี่ยนแปลงของสายตาเร็วช้าไม่เหมือนกัน 

     เด็กเกิดมาพร้อมกับสายตายาว ( hyperopic state ) จากนั้นการโฟกัสแบบสายตายาวคือแสงตกหลังจุดรับภาพทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นให้เกิดกระบวนการปรับสายตาตามธรรมชาติให้กลายเป็นคนสายตาปกติ ด้วยการยืดยาวขึ้นของกระบอกตาเป็นหลัก ซึ่งเราเรียกกระบวนการนี้ว่ากระบวนการ Emmetropization ซึ่งกระบวนการนี้เกิดขึ้นได้ในช่วงอายุแรกเกิดไปจนถึง 2-3 ขวบ ซึ่งกระบวนการ emmetropization ในการ nutralized สายตาสั้น/ยาว กับสายตาเอียงนั้น เกิดขึ้นคนละส่วนกัน 

    เด็กทารกแรกเกิดส่วนใหญ่มีแนวโน้มว่าจะเกิดมาพร้อมกับค่าสายตาเอียงและจะลดลงอย่างรวดเร็วในขวบปีแรก จากนั้นก็จะค่อยๆลดลงช้าๆ จนเกือบเป็นปกติเมื่ออายุขวบครึ่งและเด็กส่วนใหญ่ที่เป็นสายตาเอียงมักจะเป็นชนิด with-the-rule 

    เมื่อเด็กเติบโตขึ้น (3-7 ขวบ) สายตายาวจะลดลงไปเรื่อยๆและจะลดลงจนกลายเป็นสายตาปกติเมื่ออายุ 7-8 ขวบ จากนั้นจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางสายตาสั้น ( Myopic shift) เมื่อเติบโตสู่วัยเรียน  โดยการเพ่ิมขึ้นของสายตาสั้นนั้น เกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม  ระยะเวลาในการใช้สายตาดูใกล้ในแต่ละวัน  ระยะเวลาต่อวันที่ใช้สายตากับกิจกรรมกลางแจ้ง  โดยการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สำคัญคือกระบอกตาที่ยืดยาวขึ้น (axial lenght elongation)  และการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้นจะค่อยๆลดลงอีกครั้งเมื่อช่วงอายุวัยรุ่นตอนปลาย สู่ผู้ใหญ่ตอนต้น 

    ซึ่งการได้รู้การเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาในแต่ละช่วงอายุนี้ ก็จะช่วยประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาสายตาที่เหมาะสม เช่นการรักษาสายตาสั้นด้วยวิธีเลสิก นั้นควรทำหลังจากสายตาสั้นเริ่มคงที่แล้ว นั่นก็คืออายุ 20 ปีขึ้นไป จึงจะเหมาะสมที่สุด 

 

ทิ้งท้าย

     ผม ดร.ลอฟท์ ผู้แปล หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความแปลเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่มีปัญหาสายตาและตอบปัญหาค้างคาใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตา ว่าจะหยุดเมื่อไหร่ และจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด 

     แต่การเปลี่ยนแปลงสายตาจากงานวิจัยนี้ เป็นการศึกษาสำรวจถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจากการวัดสายตาที่ผิด เช่นการใช้คอมพิวเตอร์วัดสายตา 10 ครั้ง ได้ค่าไม่เหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าสายตาเราเปลี่ยนทุกครั้งที่เราใช้คอมพิวเตอร์วัดสายตา แต่เกิดจากได้ค่าที่ไม่ใช่สายตาของเราต่างหาก  เช่นเดียวกัน ถ้าเราต้องเปลี่ยนแว่นทุกปี เพราะร้านบอกว่าสายตาเปลี่ยน  ก็อาจจะเปลี่ยนจริง หรือเปลี่ยนไม่จริงก็ได้

     ดังนั้นสายตาเปลี่ยนจะต้องเริ่มต้นจากการหาค่าสายตาที่ถูกต้องให้เจอก่อน จึงจะสามารถพูดต่อได้ว่า เปลี่ยนหรือไม่  ดังนั้นการรู้ช่วงเวลาแต่ละวัยของการเปลี่ยนแปลง พอจะทำให้เรารู้ต่อไปว่า จริงๆที่เขาว่าสายตาเราเปลี่ยนนั้น ก็ต้องไปดูว่าเราอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่สายตาสั้น ยาว เอียง จะเปลี่ยน ถ้าเรายังเด็กน้อย ก็เป็นไปได้ แต่ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยากที่จะเปลี่ยน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงค่าสายตานี้จึงไม่สามารถนำไปเป็นข้ออ้างเมื่อวิเคราะห์สายตาผิด

พบกันใหม่ตอนที่ 2 เรื่องการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาในแต่ละช่วงอายุ ต่อไปเป็นเรื่องของ young adult และ late adult ก็จะจบเรื่องนี้ 

ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตาม 

สวัสดีครับ 

ดร.ลอฟท์​

หมายเหตุ ท่านไหนที่ต้องการอ่านเป็นต้นฉบับ ผมได้แนบล้ิงค์มาให้แล้ว คลิ๊กเข้าไปอ่านได้ที่ลิ้ง http://onlinereview.segi.edu.my/pdf/vol8-no2-art7.pdf

อ้างอิง Refractive error changes relative to age by Foo, Say Kiang ,Faculty of Optometry & Vision Sciences SEGi University


578 ถ.วัชรพล ท่าแร้ง บางเขน กทม.10220
เวลาทำการ
อังคาร - อาทิตย์ เวลา 9:00 - 18:00 น.
โทร 090 553 6554
line : loftoptometry 

 



toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel toto togel situs toto toto togel toto togel toto togel toto togel situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto situs toto