“ใครได้...ใครเสีย”

ถ้าหากกฎกระทรวงสถานบริการสุขภาพว่าด้วยกิจการวัดสายตาประกอบแว่นออกเป็นกฎหมายได้สำเร็จ 

~ดร.ลอฟท์ & ดร.แจ๊ค~ 

3 ธันวาคม 2561


สวัสดีแฟนเพจ แฟนคอลัมน์ และพี่น้องร่วมอาชีพแว่นตาทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ ตื่นขึ้นมารับรู้ปัญหาของร่างกฎหมาย กิจการตรวจสายตาประกอบแว่นที่ ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบกิจการร้านแว่นตา ไม่ว่าจะเป็นช่างแว่นตาที่ทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ในองค์กร แต่กฎกระทรวงฉบับนี้ ออกมาเพื่อให้นายทุนรายใหญ่ เจ้าของ chain-store เท่านั้น ที่ไม่ได้มองอะไรไปมากกว่า รายได้จากผลประกอบการ ส่วนคุณภาพการให้บริการก็อย่างที่เห็นๆกันอยู่จากร้านแว่นตาสะดวกซื้อ

 

แทนที่จะออกกฎหมายเพื่อมุ่งให้เกิดการพัฒนาคุณภาพวิชาชีพ ให้ความสำคัญหรือสิทธิของช่างแว่นตาคุณภาพที่มีอยู่เดิมแล้วเพ่ิมศักยในการทำงานให้มีคุณภาพ แต่กลับเน้นไปที่การชุบ ตามี ยายมา ตาอิน ตานา ให้กลายเป็นช่างแว่นตาเกิดใหม่ แล้วมันจะเกิดผู้ให้บริการที่มีคุณได้ภาพอย่างไร เพราะโครงสร้างหลักสูตรก็ยังไม่ได้เลยว่าจะมีเนื้อหาเป็นอย่างไร จะสอนอะไรบ้าง บอกแต่ว่าเป็นหลักสูตรกลางของสถานบริการส่งเสริมสุขภาพ สบส.  ซึ่งเป็นเรื่อง โจ๊ก มากๆ  สบส.รู้อะไรเกี่ยวกับสายตาหรือที่จะมาทำหลักสูตรกลาง ฮึ! 

 

แต่ไม่เป็นไร เราก็ยังเวลาให้สู้อีก เพราะยังอยู่ในช่วงการนำร่างกฎกระทรวงออกทำประชาพิจารณ์ (แบบพอเป็นพิธี) แล้วก็ใช้การเหมาเข่งว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แล้วยกร่างให้กฤษฎีกาตีความว่าจะให้คลอดหรือจะทำแท้ง  ซึ่งถ้าพวกเราตื่นตัวกันตั้งแต่วันนี้ แล้วรวมพลังกัน กฎกระทรวงที่ไม่เกิดประโยชน์นี้ก็คงจะแท้งในไม่ช้า แต่ถ้ายังคงหลับไหลลืมตื่น ฤ พี่ กันอยู่ก็เตรียมพับเสื่อกลับบ้าน หมดเวลาของท่านแล้ว นายทุนกำลังจะมา 

 

ดังนั้นถ้าอ่านแล้ว พิจารณาดูแล้วเห็นว่า มันเป็นกฎหมายที่มีปัญหากับคนหมู่มากจริงๆ ก็อยากให้ส่งต่อข่าวนี้ออกไปให้ได้มากที่สุด เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับคนไทยทุกคน เพราะเป็นกฎหมายที่บังคับว่า ใครบ้างที่มีสิทธิและหน้าที่ในการดูแลสุขภาพสายตามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็ขึ้นอยู่กับทุกคนว่าอยากให้มันเป็นแบบไหน ให้มันเป็นเรื่องสินค้ามันก็เป็น ให้มันเป็นเรื่องสุขภาพมันก็เป็น 

 

"จุดยืน"

 

การพูดความจริงแบบส่งสารตรงไปตรงมา แม้อาจจะรับฟังได้ยากสักหน่อย แต่ล้วนจริงทั้งสิ้น ซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องลำบากใจอยู่เหมือนกัน เพราะบางคนก็ยังไม่พร้อมที่จะฟังเรื่องจริง เด็กน้อยยังคงต้องการฟังนิทานโกหกเพื่อขอให้ตัวเองฝันดี แต่ท่านไม่ใช่เด็กแล้วมีอะไรมากมายที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องความฝัน  ดังนั้นในการอ่านอาจต้องขอให้ ลดอคติแล้วคิดใตร่ตรองด้วยปัญญาของท่าน สุดท้ายจะคิดตัดสินใจยังไงก็คงต้องแล้วแต่ท่าน 

 

เรื่องที่ผมกำลังพูดต่อไปนี้ ทุกท่านที่เป็นมนุษย์จะเป็นต้องรู้ (ถ้ารู้แล้ว..ไม่ต้องอ่านก็ได้) เนื่องจากเป็น กฎหมายที่กำหนดสิทธิว่าใครบ้างที่เป็นผู้มีสิทธิหน้าที่ในการทำการวัดสายตากับดวงตามนุษย์ ดังนั้น ใน 1 ชาตินี้ทุกคนจะต้องได้เกี่ยวข้องกับกฎหมายข้อนี้และยังส่งผลไปถึงลูกหลานของท่านในอนาคตในการเข้ารับบริการด้านสายตาและระบบการมองเห็น 

 

แม้ในความเป็นจริงผมจะอยากอยู่เฉยๆ แต่ถ้าเฉยๆแล้วคนวงการแว่นตาจะต้องกลืนโดยนายทุน ผมคงจะต้องออกมาแสดงจุดยืนว่าผมไม่เห็นด้วยที่จะให้กฎหมายกะลาไปครอบศักยภาพของคนที่มีความสามารถในการทำงานด้านช่างแว่นตา และคิดว่าในประเทศมีมีประชาธิปไตยครึ่งใบอยู่นี้ คงจะเปิดโอกาสให้คนได้แสดงความเห็นต่าง

 

แม้ว่าผมไม่ได้เกิดในครอบครัวที่มีร้านแว่นตา แต่ผมก็มีเพื่อนที่เป็นช่างแว่นตาเก่งๆ ที่รู้จักอยู่หลายคน เราคุยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับการทำงานในคลินิกทัศนมาตรกันเป็นประจำ ซึ่งมีเรื่องราวมากมายให้เราเรียนรู้และลึกซึ้งกว่าการให้ลูกค้า เอาคางวาง หน้าผากชิด มองบอลลูนนะ กดปุ่มยิงจึ๊กๆ 5 วินาที ได้ค่าสายตามา เสียบแว่นลองแล้วถามว่า.....ชัดไหม ๆ ๆ  ถ้าชัดแปลว่าขายได้ ขายกรอบ ขายเลนส์ ทำยอด ได้เป้า ได้ค่าคอม   ถามจริงๆ จะดูแลอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกาย เอากันแค่นี้จริงๆหน่ะหรือ 

 

ช่างแว่นตาเขาก็อยากพัฒนาศักยภาพเขาต่อไป ทำงานให้ได้คุณภาพ เพื่อยกระดับมาตรฐานวิชาชีพต่อไป และผมเชื่อว่ามีช่างแว่นตาอาชีพจำนวนมากที่ต้องการเข้าไป ณ จุดสูงสุดของอาชีพแว่นตา ใครก็ตามที่รักและซื่อสัตย์ในวิชาชีพตัวเอง ย่อมอยากเห็นวิชาชีพตัวเองเติบโต  แต่คนที่ไม่ได้รักก็มองเห็นเพียงแต่เหมืองสำหรับขุดทอง หลับหูหลับตาขุด โดยไม่ได้มองรอบข้างเลยว่าได้สร้างมลภาวะให้กับสิ่งแวะล้อมมากมายขนาดไหน โดยเฉพาะกลุ่มที่ชอบทำธุรกิจแบบผักตบชวา อาศัยน้ำในเกิด พอเกิดแล้วแพร่แบบไร้คุณภาพ จบลงด้วยแม่น้ำดีๆถูกทำลายกลายเป็นน้ำเสีย 

 

"ช่างแว่นตาเป็นครูผม" 

 

ผมมีเรื่องราวดีๆกับช่างแว่นตาอยู่หลายคน และอยากจะเล่าให้ฟัง  ปัจจุบันเรามีช่างแว่นตาที่มีอยู่เดิม ที่รักในอาชีพ และพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา มีความรู้ มีทักษะในการทำงานในระดับที่ผมยังทึ่งในความสามารถ แต่จะยกตัวอย่างสักสองคนที่ผมไปคลุกคลีด้วย 

"ช่างแว่นตาที่เป็นครูคนแรก" ครั้งหนึ่ง (2013) ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานกับช่างแว่นตาที่ผมยอมรับว่าฝีมือต้นๆของประเทศ เค้าล่ำลือกันอย่างนั้นก่อนที่ผมจะเรียนทัศนมาตรจบด้วยซ้ำ เชื่อว่าช่างแว่นตารุ่นใหญ่ในประเทศไทยรู้จักเขาดีนั่นคือ คุณสม จุ้ยโต้ ร้านจุ้ยโต การแว่น จ.ลำปา แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ตำนานของเขาก็ยังคงอยู่ อย่างน้อยก็ในใจผมที่ครั้งหนึ่งเคยไปร่วมงานกันอยู่ครึ่งปี 

 

ในช่วงเวลาครึ่งปีนั้น ผมได้เรียนรู้การทำงานกับช่างแว่นตามืออาชีพ เอาเป็นว่า ถ้าทัศนมาตรจบมาใหม่ๆ ประสบการณ์ไม่ถึง 3 ปีหรือเป็นพวกประเภทเรียนให้ผ่านๆจบๆ เพียงแค่มาชุบตัวให้พอเปียกๆนั้นไม่ได้กินฝุ่นเขาก็แล้วกัน เขาสร้างเทคนิคการตรวจสายตาและระบบของการมองเห็นได้อย่างน่าสนใจ มีระบบ backup test check อย่างเป็นธรรมชาติแม้ไม่ได้เรียนทัศนมาตรก็ตาม มีเทคนิคการจ่ายเลนส์ที่ดี และเป็นคนที่เป็นพวก perfectionist ไม่ยอมอะลุ่มอะหล่วยกับงานที่ออกมาไม่ดีแม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยแม้บางครั้ง defect เล็กน้อยที่ลูกค้าก็อาจไม่สังเกตก็ตาม เขาก็จะไม่ปล่อยงานแบบนั้นออกไป  เขาเป็นคนที่ใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา อยากรู้ทุกเรื่องที่เรารู้ และเมื่ออธิบายเขาก็สามารถเข้าใจได้แทบจะในทันที  ดังนั้นในช่วงเวลานั้น ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากช่างแว่นตาท่านนี้  

 

"ช่างแว่นตาที่เป็นครูผมคนที่สอง"  อีกคนหนึ่งเป็นช่างแว่นตาที่ผมเราเคารพเหมือนพี่ชายที่สนิทกันมากในวงการแว่นตา เขาเป็นช่างแว่นตาที่เก่งมากในความรู้สึกผม ผมเริ่มรู้จักกับเขาสมัยยังทำงานเป็น lens consultat ให้กับ Rodenstock Asia ในฐานะลูกค้าสำคัญของโรเด้นสต๊อก  ซึ่งผมมีหน้าที่ติดรถไปกับเซลล์เพื่อไปเยี่ยมเยียนลูกค้าตามปกติ เพื่อไปนำเสนอผลิตภัณฑ์เลนส์หรืออัพเดตเทคโนโลยีใหม่ๆและมีโอกาสได้ไปเห็นการทำงานของช่างแว่นตาท่านนี้ 

 

ช่างแว่นตาที่เป็นเหมือนพี่ชายผมคนนี้ ทำร้านแว่นมานานกว่า 20 ปี มีเทคนิคการตรวจสายตาและระบบการมองเห็นที่ครบถ้วนทุกระบบตามหลักทัศนมาตร ใช้ retinoscope เป็นเรื่องปกติ ตรวจสายตาที่ระยะ 6 เมตรมานานกว่า 20 ปีแล้ว และมีเทคนิคในการตรวจมากมายที่เกิดจาการสั่งสมประสบการณ์มายาวนาน  หลังจากที่ผมลาออกจาก Rodenstock ผมต้องไปเข้าไปเรียนรู้การทำงานในร้านแว่นตากับเขา เพื่อให้เข้าถึงจิตวิญญาณของช่างแว่นตา  และผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากประสบการณ์การทำงานตรง และได้ความคิดที่สำคัญมากไปกว่างานแว่นตาที่เขาสอนผม และอุดมการณ์ในการทำงานหลายๆเรื่องผมก็ได้แนวคิดมาจากช่างแว่นตาคนนี้ 

เช่น ตอนที่ผมถามเขาว่า "ผมอยากลาออกไปทำร้านแว่น เฮียว่าดีไหม และมันต้องเริ่มจากอะไร"

เฮียถามผมกลับว่า  “เฮียยศ...อยากเปิดร้านแว่นตามาเพื่ออะไร  ที่ต้องถามแบบนี้ เพราะคนทำร้านแว่นเกือบทุกร้านในประเทศไทย ไม่เคยถามตัวเองว่า  เปิดร้านแว่นตาขึ้นมาทำไม เพื่อจะทำแว่นให้ดี หรือเพื่อให้ขายดี เพราะเป้าหมายต่าง กระบวนการทำงานต่างกัน"  

"ถ้าเปิดให้ขายดี" ก็เลือกทำเลทองๆ ค่าที่แพงๆ มีกรอบแว่นเยอะๆ ทำโปรโมชั่นเยอะๆ ลดแลกแจกแถม ชิงโชค เข้าไป เดี๋ยวขายดีเอง  ขายดีแล้วทำทันไหม ทำได้มากสุดวันละกี่เคส ทำไหวไหม ยอมรับกับความผิดพลาดที่มากตามงานที่ทำได้ไหม ดูแลหลังการขายได้ไหม ยอมรับปัญหาอะไรจะตามมาแบบดินพอกหางหมูได้ไหม  ยิ่งทำมาก ยิ่งพลาดมาก ยิ่งต้องแก้งานมาก  งานใหม่ก็มาก งานแก้ก็เยอะ  ถ้ามีความสุขแบบนี้ก็เอา 

 

"ถ้าเปิดเพื่อทำแว่นให้ดี"  ก็มุ่งไปที่การคุมมาตรฐานการทำงาน ความลึกของห้องตรวจ  ความมาตรฐานของเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในห้องตรวจ  ความพร้อมของเครื่องมือในการตรวจสายตาและระบบการมองเห็น  ความมาตรฐานของเครื่องมือประกอบแว่น   ทำเลทองไม่ได้เกี่ยวกับแว่นดีหรือไม่ดี  ลูกค้าเยอะไม่เยอะไม่เกี่ยวกับแว่นดีไม่ดี  ขายดีไม่ดีไม่ได้เกี่ยวกับแว่นดีหรือไม่ดี  และไม่ใช่เรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญ แต่ถ้าดีจริง เดี๋ยวมันมามันเอง และมาในแบบที่เราสามารถควบคุมเวลาการทำงานของเราเพื่อรักษาคุณภาพการทำงานได้  

 

“น้อยๆ...แปลว่าดี”

ร้านเล็กๆ ค่าเช่าไม่แพง  ไม่เปลืองไฟ ไม่เปลืองแอร์ ไม่ต้องตกแต่งมาก ไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์มาก ทำคนเดียวได้ ไม่ต้องมีพนักงานมากมาย ค่าบำรุงดูแลรักษาต่ำ ทำให้ผมนึกถึงร้านอาหารของญี่ปุ่น ที่เล็กๆ แต่ล้นไปด้วยคุณภาพ วิญญาณของผู้ให้บริการ และเรื่องราว 

 

"ขายไม่ดี....แปลว่าดี"

“ขายไม่ดี....แปลว่าดี” จะได้มีเวลาอ่านหนังสือ ทบทวนตำรา  ฝึกฝนทักษะฝีมือ ในเรื่องลึกซึ้งที่เรายังไม่รู้ ส่วนงานที่เร่งทำ เหมือนหมอที่เร่งผ่าตัด มันเป็นเรื่องยากที่จะเอาคุณภาพ และถ้าคิดว่าเปิดมาเพื่อแค่อยากจะทำแว่นในแต่ละอันให้ดีที่สุด ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดว่า จะขายดีหรือขายไม่ดี  คิดแต่เพียงว่า ถ้ามีใครอยากจะได้แว่นดีๆ และมาขอให้เราช่วยทำให้ เราก็จะทำงานชิ้นนั้นออกมาให้ดีที่สุด  แล้วทุกอย่างมมันจะโตตามธรรมชาติของมัน 

 

“พอเพียง....คือการพึ่งพาตนเอง”

ก่อนจะพึ่งพาเทคโนโลยี พึ่งพาตนเองได้ดีแล้วหรือยัง ก่อนจะใช้เครื่องวัดสายตาคอมพิวเตอร์ ใช้เรติสโคปคล่องแล้วหรือยัง ก่อนจะจ่ายเลนส์ดีๆเทคโนโลยีสูงๆ วัดสายตาถูกหรือยัง ถ้าไฟดับ projector ไม่ทำงาน  เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ทำงาน  มีเพียงเลนส์เสียบกับเรติสโคป สามารถรีดค่าสายตาที่ถูกต้องออกมาได้ไหม  ถ้าทำได้นั่นแหล่ะเรียกว่า “การพึ่งพาตนเอง”และจะเกิดความยั่งยืน  ถ้าทำไม่ได้ นั่นแหล่ะเรียกว่า “ไม่พึ่งพาตนเอง” และนำไปสู่ความไม่ยั่งยืนในที่สุด 

เพื่อนช่างแว่นตาเป็นครูผมที่ว่านี้คือ คือเฮียกรฤทธิ์ แห่งร้านแว่น สปอด มุกดาหาร นั่นเอง คนมุกหรือจังหวัดใกล้เคียงน่าจะรู้จักที่นี่ดี และนี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่ผมอยากพูดว่า “ช่างแว่นตาเป็นครูผม” 

 

ดังนั้นส่ิงที่ผมต้องการจะสื่อเรามีช่างแว่นตาเก่งๆอยู่มากมายในประเทศ ที่มีความรู้ความสามารถที่จะเป็นครูได้  แต่ถ้าจะออกกฎหมายมาเพื่อให้ครูทั้งหลาย ทำงานได้เพียงแค่ สั้น ยาว เอียง ชรา ด้วยการเอากะลากฎหมายมาครอบว่าคุณมีความรู้เท่านี้แหล่ะ ทำงานได้เท่านี้แหล่ะ  เหมือน คุณเป็นนักบินมีความสามารถขับเครื่องบินโดยสารได้ แล้วมาเจอกฎหมายการบิน เขียนว่าคุณทำได้แค่ “ปั่นจักรยานสามล้อถีบส่งผู้โดยสารนะ" แล้วบอกคุณว่า ผมสร้างกฎหมายมาเพื่อคุณ คุณจะได้ไม่ต้องกลัวเรื่องเครื่องบินตก ถามจริงๆจากใจ  “เอางั้นจริงเหร่อ” 

 

เร่งทำคลอดกฎหมายเพื่อ...ใคร

 

การเร่งทำคลอดกฎหมายสถานบริการทางสุขภาพ ว่าด้วย “กิจการตรวจสายตาประกอบแว่น” ที่เขียนกฎบังคับให้ช่างแว่น ทำได้เพียง “ สั้น ยาว เอียง และ สายตาชรา” เท่านั้น และทำกับคนที่สามารถสื่อสารได้ดีเท่านั้น (ห้ามทำในเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี) แต่ประอ้างว่ากฎหมายฉบับนี้ ออกมาเพื่อช่างแว่นตา ออกมาเพื่อเจ้าของร้านแว่นซึ่งเป็นส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง แต่เหนียมอายที่จะบอกชัดๆไปว่าออกมาเพื่อนายทุน  ถามจริงเป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ไม่กระดากหน่อยเหร่อ 

 

ตอนนี้ สมาคมนายทุนและบริษัทค้าส่งแว่นตาแห่งประเทศไทย โดยมี กลุ่มทุน เป็น back กำลังเร่งเดินทำประชาพิจารณ์อย่างเร่งด่วน ต่อไปจะไปที่ภาคอีสาน จ.อุบลราชธานี และ สุดท้ายน่าจะ จ.ภูเก็ต และจะประกาศชัยชนะว่า “ทำประชาพิจารณ์ขอความคิดเห็นหมดครบทุกภาคแล้ว คนส่วนใหญ่เห็นด้วยและสมควรให้ออกกฎกระทรวงฉบับนี้อย่างเร่งด่วน” 

 

ถ้าช่างแว่นตา ประชาชน และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย นิ่งเฉยจนออกเป็นกฎหมายอย่างนั้นจริง  ผมต้องแสดงความเสียใจกับช่างแว่นตาและถ้าแก่ร้านแว่นตา แม้ไม่อยากพูดก็ต้องพูดคำว่า “ลาก่อย”

 

รัฐบาลนีี้ทำตัวแปลกๆ  เรื่อง พรบ.ยาก็ทีหนึ่ง ที่กำหนดให้ใครก็สามารถจ่ายยาได้ จะได้ขายยาในร้านสะดวกซื้อ 24 ชม. โดยอ้างตรรกะกระบือๆว่า “เภสัช...มันยังมีไม่พอ” เหมือนกันกับผู้ใหญ่สมาคมนายทุนขายแว่นพูดเป๊ะ “ทัศนมาตร..มันยังมีไม่พอ” ได้ฟังแล้วสังเวชใจชอบกล ไม่พอแล้วจะออกกฎหมายแบบนี้มาเพื่อ???? ไม่พอช่วยกันสร้างสิครับ มันจะได้พอ 

 

บางคนเห็นการขัดแย้งเรื่องนี้ก็ไปมองว่าทัศนมาตรกับช่างแว่นตาเขาแย่งหม้อข้าวกัน  ซึ่งอันที่จริงแล้ว หม้อข้าวทัศนมาตรเขาออกแบบมาพิเศษ ถ้าไม่ใช่ทัศนมาตรเปิดหม้อข้าวไม่ได้ หุงข้าวไม่ได้ เพราะมันมีปุ่มลับ ดังนั้นทัศนมาตรไม่แย่งหม้อข้าวใคร ใครก็แย่งทัศนมาตรไม่ได้  แต่ที่ห่วงคือห่วงหม้อข้าวใบน้อยๆของช่างแว่นตาหรือของเถ้าแก่ร้านแว่นจะโดนนายทุนที่มีหม้อเป็นยุ้งอยู่แล้วปล้นไปอีก 

 

"ใครได้...ใครเสีย"

 

แน่นอนว่า ถ้า (ร่าง) กฎกระทรวงสถานบริการสุขภาพว่าด้วย “กิจการวัดสายตาประกอบแว่น” ที่กำลังเดินทำประชาพิจารณ์ ให้ครบทุกภาค และจากนั้นก็จะประกาศกฎกระทรวงบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ เป็นผลสำเร็จ  (ติ๊งต่าง..ว่าสำเร็จ)  หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง 

 

“กฎหมาย” เป็น “กฎ” ที่ออกโดยรัฐ เพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย “ทำหรือห้ามทำ ตามกฎเกณณ์กติกาและถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎก็จะมีความผิดตามกฎหมาย”แต่กฏหมายจะศักดิ์สิทธิได้นั้น ต้องมีความชอบธรรมและคนส่วนใหญ่ในรัฐฐะนั้นได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์

ดังนั้นกฎหมายออกมาก็จะมีผู้ที่ได้รับผลประโยชน์กับผู้ที่เสียผลประโยชน์อย่างแน่นอน 

 

"ผู้ที่เกี่ยวข้อง"

 

ถ้าตีวงให้แคบลงมาก็จะมีบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่ในเรื่องนี้อยู่ 4 กลุ่มที่เป็นคน คือ ช่างแว่นตา ทัศนมาตร และประชาชน และมีนิติบุคคลอีก 2 กลุ่มที่เกี่ยวข้องคือ ร.ร.ส่งเสริมวิชาการแว่นตา และ มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขาทัศนมาตรศาสตร์ (รามคำแหง,รังสิต,นเรศวร)

 

ส่วนจักษุแพทย์นั้นเขามีสภาเป็นของตัวเอง อันเป็นกฎหมายสูงสุดของเขาอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้

 

ดังนั้น วันนี้ผมไม่ได้มาสนับสนุนหรือมาคัดค้านร้างกฎกระทรวงนี้ แต่จะมาให้ “สติ” ให้ “ปัญญา” “ให้มุมมอง” ในใจที่เป็นกลาง ว่าท่านทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ กฎกระทรวงฉบับนี้ ได้หรือเสียอย่างไร 

 

คำทำนาย 

ถ้ากฎหมายนี้สามารถออกมาเป็นกฎหมายและบังคับใช้ จะเกิดผลบังคับให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เกิดผลต่อไปนี้

  1. กลุ่มทัศนมาตร...สบายดี 
  2. กลุ่มนายทุน...ดีฝ่ายเดียว ดีมากๆอย่างที่ไม่เคยดีแบบนี้มาก่อน หุ้นจะขึ้น 
  3. กลุ่มประชาชน...ได้...ได้เลือกว่าจะใช้บริการกับใคร 
  4. กลุ่มช่างแว่นตา...เป็นผู้ที่ได้ส่วนเสียมากที่สุด
  5. ร.ร.สอนช่างแว่นตา...จะยิ้มร่าเริง และจะผุดโรงเรียนอะไรสักอย่างโผล่มาเต็มไปหมด
  6. มหาวิทยาลัย...ผลิตบัณฑิตทัศนมาตรต่อไปตามปกติ (ตัวใหญ่มาก ไม่ค่อยไม่รู้หนาวรู้ร้อน) 

แต่ก่อนจะไปถึงตอนนั้น ผมขอโหมโรงก่อน ที่มาที่ไปเสียก่อน 

 

"เรามาเริ่มเสวนากันดีกว่า"

ก่อนจะเข้าในส่วนของหัวข้อผลกระทบจากกฎหมาย ขอเท้าความกันสักเล็กน้อยสำหรับผู้มาใหม่ว่าในเมืองไทยของเรานั้น ก่อนที่จะเร่ิมมีกฎเกณฑ์กติกา มีใครบ้างที่มีหน้าที่ในการดูแลสุขภาพตา โดยบุคลากรที่ทำหน้าที่ในการบริการทางด้านสุขภาพตาและระบบการมองเห็นในโลกนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ 

  1. จักษุแพทย์ (ophthalmology) 
  2. นักทัศนมาตร (optometrist) 
  3. ช่างแว่นตา (optician) 

ซึ่งบุคลากรที่ให้บริการในบ้านเราที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมนั้นคือ จักษุแพทย์และช่างแว่นตา ส่วนทัศนมาตรนั้นจัดว่าเป็นกลุ่มใหม่ซึ่งเป็นศาสตร์ต่างประเทศที่เข้ามาเชื่อมระหว่างจักษุแพทย์และช่างแว่นตา

 

"ความต่าง" 

แม้ว่าบุคลากรทั้ง 3 จะมีลักษะงานที่ทำงานเกี่ยวกับตา แต่หน้าที่หรือวิธีคิดนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก เนื่องจากการเรียนการสอนหรือระบบการคิดนั้นถูกปลูกฝังมาต่างกัน และวิชาชีพที่ดีจะใกล้เคียงและหลายคนยังสับสนกันก็คือ จักษุแพทย์ (ophthalmologist) กับ ทัศนมาตร (optometrist) แต่จริงๆแล้วทั้งสองวิชาชีพนี้มีการทำงานและวิธีคิดในการทำงานที่ต่างกัน  ซึ่งผมเล่าให้ฟังเป็นข้อๆ 

 

เดิมผู้ให้บริการเกี่ยวกับสายตานั้น แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มของช่างแว่นตาและกลุ่มของจักษุแพทย์ 

 

"จักษุแพทย์(ophthalmology)" 

จักษุแพทย์ หรือ “หมอตา” จะมีความรู้และเชี่ยวชาญทางด้าน ความผิดปกติทางด้านกายภาพของดวงตาและถูกฝึกมาให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในตรวจหาความผิดปกติทางกายภาพ และ จัดการกับปัญหาทางกายภาพของดวงตาให้กลับมาปกติ เช่น ถ้าเกิดว่ามีคนไข้ตาแดง ขี้ตาเขรอะ ตาบวมฉึ่งมา หรือตาไปโดนสารเคมีมา กระจกตาเสียหาย ต้องทำการเปลี่ยนกระจกตาใหม่ หรือคนไข้มีต้อกระจก หรือมีพยาธิสภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงตา ซึ่งลักษณะนี้ไม่ใช่ลักษณะกายภาพที่ปกติ 

 

จักษุแพทย์จะมีความเชี่ยวชาญในการหาสาเหตุและแก้ไขความผิดปกติทางกายภาพนั้นให้ตากลับมาปกติ ด้วยการจ่ายยา หรือผ่าตัด หรืออื่นๆ เมื่อทำให้กายภาพปกติได้แล้ว โดยปกติจะถือว่างานนั้นได้สิ้นสุดลง เช่นตาเหล่ ก็ทำหน้าที่ผ่ากล้ามเนื้อตาให้ตรง แต่เมื่อตาตรงแล้วเกิดภาพซ้อน หรือปวดหัวปวดเบ้าตา นั่นอีกเรื่องหนึ่งเพราะทางกายภาพถือว่าปกติแล้ว และลักษณะวิธีคิดนั้น จะวิ่งจากตามหารอยโรค แก้รอยโรค แล้วก็ไปตามดูว่าหลังจากรักษารอยโรคแล้ว การมองเห็นเป็นอย่างไร ถ้าสามารถกลับมามองเห็นได้ก็ถือว่าเสร็จงาน

"กรศึกษของจักษุแพทย์"

ผู้ที่จะมาเป็นจักษุแพทย์ได้นั้น ต้องเรียนแพทย์ทั่วไปให้จบก่อน คือเข้าเรียนแพทย์ 6 ปี ได้ปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิต (พบ.) หรือ Doctor of Medicine (MD) และหลังจากใช้ทุน 3 ปีแล้วก็กลับมาเรียนต่อเฉพาะทางด้านจักษุเมื่อเรียนจบแล้วก็จะได้ประกาศนียบัตรวิชาชีพเฉพาะทางจักษุ ก็จะได้ขึ้นทะเบียนเป็นจักษุแพทย์ มีกฎหมายเฉพาะของตัวเอง คือสภาราชจักษุวิทยาลัย

 

ทัศนมาตร (optometrist) 

ทัศนมาตร(Optometrist) นั้นถือว่าเป็นบุคลากรใหม่ในประเทศไทย เนื่องจากเดิมเป็นหลักสูตรต่างประเทศซึ่งพึ่งจะถูกบรรจุเข้าในหลักสูตรอุดมศึกษาได้ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เองและประเทศไทยยังมีสอนอยู่ไม่กี่แห่ง เนื่องจากปัญหาคือหาบุคลากรที่จะสอนนั้นยากมาก จำเป็นต้องทำโครงการร่วมมือกับ optometrist ต่างประเทศ จากอเมริกาเป็นหลัก เนื่องจากที่อเมริกานั้นมีมายาวนานกว่า 150 ปี และวิชาชีพทัศนมาตรในอเมริกานั้นถือว่าเป็นหมอสาขาหนึ่ง ในบางรัฐนั้น Optometrist สามารถจ่ายยาได้ ในบางรัฐนั้นสามารถผ่าตัดเล็กได้ และ ophthalmologist กับ Optometrist นั้นทำงานร่วมกันและตัดสินใจร่วมกันในการหาแนวทางรักษาเพราะต่างก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาของตน 

 

ความรู้ความเชี่ยวชาญ

ทัศนมาตร (optometrist) มีระบบการเรียนการสอนหรือกระบวนในการคิดของทัศนมาตรนั้น ไม่ได้มองเพียงแค่ว่า “เห็นชัดหรือไม่ชัด” แต่มองลึกลงไปว่า “คนไข้เขามองเห็นโลกอย่างไร” หรือ “โลกที่เขามองเห็นนั้นเป็นอย่างไร” พูดอีกนัยหนึ่งคือ ทัศนมาตรต้องสามารถรู้ได้ว่าโลกที่คนไข้มองเห็นนั้นเป็นอย่างไร แม้ว่าคนไข้จะพูดไม่ได้ หรือพูดแล้วเชื่อไม่ได้ เช่นเด็กทารก เด็กเล็กหรือเด็กที่มีความผิดปกติของการพัฒนา หรือแม้แต่คนที่หมดสติ ทัศนมาตรจะมีกระบวนการและเครื่องมือที่จะรู้ว่า โลกที่คนไข้มองเห็นนั้นเป็นอย่างไร 

 

เนื่องจากสิ่งมีชีวิตนั้นมองเห็นโลกด้วยสมองและมีอวัยวะต่างๆที่มาเกี่ยวข้องกับการมองเห็น เริ่มตั้งแต่ดวงตา เส้นประสาทตา  ไปถึงสมองและยังมีอวัยวะอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับระบบการมองเห็นทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงโรคอื่นๆ หรือยารักษาโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประสาทการมองเห็น ทำให้การเรียนทัศนมาตรนั้นต้องเรียนทั้งระบบ เพื่อให้สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของระบบการมองเห็นทั้งหมด

 

ดังนั้นความรู้ความเชี่ยวชาญของทัศนมาตรคือ แก้ไขปัญหาการมองเห็น ทั้งในเรื่องความคมชัด ฟังก์ชั่นของกล้ามเนื้อตาหรือการมองสองตา ให้สามารถมองได้คมชัดและรู้สึกสบายตา สามารถใช้งานสายตาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสมดุล ซึ่งการแก้ไขปัญหานั้น จะแก้ด้วยการจ่ายเลนส์สายตา เลนส์โปรเกรสซีฟ เลนส์สัมผัส เลนส์ปริซึม ทัศนบำบัด เป็นต้น เพื่อให้ระบบการมองเห็นนั้นสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด 

 

การศึกษาของทัศนมาตร 

ทัศนมาตร (optometrist) นั้นคือผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรทัศนมาตรบัณฑิต(ทศ.บ.)(Doctor of Optometry ,O.D.) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ต้องใช้เวลาศึกษารวม 6 ปีรวม 239 หน่วยกิต  เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องไปสอบเพื่อขอหนังสืออนุญาตให้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตร จากกองประกอบโรคศิลปะกระทรวงสาธารณสุข เมื่อได้รับหนังสืออนุญาตแล้วจึงจะถือว่าได้เป็น ทัศนมาตรวิชาชีพ หรือ Optometrist และจะต้องเข้าอบรมเพื่อนำไปต่อหนังสืออนุญาตทุกๆ 2 ปี ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยมีทัศนมาตรวิชาชีพ ประมาณ 300 คน และปริมาณการผลิตต่อปีจาก 3 มหาวิทยาลัยประมาณ 120-130 คน 

 

ความสำคัญของทัศนมาตร 

การแพทย์ปฐมภูมิ (primary care)

ทัศนมาตรนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพพื้นฐานในระดับปฐมภูมิ (primary care) เนื่องจากมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกาย การทำงานของร่างกาย และพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งเป็นเหมือนด่านแรกที่คนไข้เข้ามาด้วยปัญหาสายตาและระบบการมองเห็นโดยไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาสุขภาพด้านอื่นและอาจพึ่งมาตรวจเจอหลังจากเข้ารับบริการตรวจตาทัศนมาตร หรือคนไข้อาจจะมีโรคประจำตัวที่ต้องทานยาเป็นประจำ ทัศนมาตรก็จะสามารถรู้ได้ว่ายาดังกล่าวนั้นส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพร่างกายหรือดวงตาอย่างไร และสามารถแนะนำคนไข้ให้ปฏิบัติตัวให้เหมาะสม หรือส่งต่อคนไข้ให้หมอที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะโรคนั้นๆได้ ซึ่งหากมีความผิดปกติร้ายแรงจะได้สามารถรักษาได้ทันท่วงที จึงถือเป็นด่านคัดกรองสุขภาพที่สำคัญ 

 

ความสามารถเฉพาะทาง (specialist)

ทัศนมาตรนั้นมีความสามารถเฉพาะทางเกี่ยวกับเรื่องการมองเห็นและการทำงานร่วมกันของทั้งสองตา เพราะในหลักสูตร 6 ปีนั้นมุ่งเน้นเรื่องนี้เป็นสำคัญ ดังนั้นหากมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น เช่น ไม่ชัด หรือชัดแต่ปวดหัว ตัวหนังสือมีเงา ภาพซ้อน อ่านหนังสือแล้วคลื่นไส้ เวียนหัว อ่านหนังสือไม่ทน อ่านกระโดดช้ามบรรทัด หรือตัวหนังสือแยกซ้อนเป็นสองตัว ก็สามารถแก้ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด  

 

ทัศนมาตรนั้นมีความรู้ความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับระบบหักเหแสง ทั้งภายในลูกตาและเลนส์ตา รวมถึงเลนส์สัมผัส ดังนั้น จะสามารถให้ความรู้ความเข้าใจกับคนไข้ ให้สามารถเลือกแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมได้ เพื่อให้คนไข้ได้คุณภาพการมองเห็นที่ดีสุด 

 

กฎหมายทัศนมาตร 

ปัจจุบันทัศนมาตรศาสตร์ ยังเป็น "ศาสตร์" ยังไม่ได้ขึ้นเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ ดังนั้นกฎหมายที่ใช้อยู่เป็นหนังสืออนุญาตให้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตร  อยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะ

 

ช่างแว่นตา (Optician) 

ช่างแว่นตา หรือ Optician นั้น ถือเป็นบุคลากรกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ให้บริการด้านสายตาในประเทศไทยและเป็นบุคลากรที่มีมาตั้งแต่แรกเริ่มยาวนาน มาหลายสิบปี ซึ่งทำหน้าที่ในการวัดสายตาประกอบแว่นให้กับผู้มารับบริการ  ส่วนความรู้และทักษะนั้นส่วนใหญ่ได้จากการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองและจากการสอนต่อๆ กันมา 

 

การศึกษาช่างแว่นตา 

ในช่วงก่อน 30 ปีความรู้ทางด้านแว่นตานั้นถือว่าเป็นสมบัติที่ต้องหวงกันเพราะว่าความรู้ไม่ได้แพร่หลายเหมือนอย่างในปัจจุบัน และเริ่มมีการเรียนการสอนในช่วง 30 ปีหลังที่ผ่านมา โดยเริ่มจาก กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จัดทำหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาเทคนิคแว่นตาและเลนส์ เป็นหลักสูตร 3 ปี จบแล้วได้รับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) มีการสอนที่วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง ไม่มั่นใจว่าปัจจุบันยังเปิดสอนอยู่ไหนเพราะว่าผมไม่สามารถหาข้อมูลสาขานี้ในเว็บวิทยาลัยได้ 

 

จากนั้นก็มีหลักสูตรอบรมช่างแว่นตาระยะสั้น 180 ชม. ของโรงเรียนช่างแว่นตา ทำให้สามารถผลิตบุคลากรได้เร็วกว่า และเนื่องจากยังไม่มีกฏหมายที่บังคับว่าการวัดสายตาจำเป็นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้สถานบริการด้านสายตาในประเทศไทยสามารถเปิดได้อย่างอิสระและมีร้านแว่นตาหลายหมื่นร้านในประเทศ (จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ 5,000 ร้าน) ** credit http://www.nationtv.tv/main/program/378543878/

 

ช่างแว่นตาในปัจจุบันนั้น สามารถให้บริการตรวจวัดสายตาและมีความสามารถด้านงานฝนเลนส์ประกอบแว่น และ ปรับแต่ง แก้ไข ซ่อมแซมแว่นตาและเลนส์แว่นตาได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม ช่างแว่นตา ก็ยังถือว่าเป็นบุคคลกรที่จำเป็นในระบบสาธารณสุข 

 

ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ เหมือนมีตัวละครอยู่ 3 กลุ่มที่เราจะต้องทำความเข้าใจและเกี่ยวข้องกับการกระทำกับดวงตามนุษย์ 

 

ในส่วนของจักษุแพทย์ นั้นเราต้องหยิบออกไป เพราะว่าจักษุแพทย์นั้นมี พรบ.วิชาชีพเวชกรรม เป็นของตัวเองอยู่แล้ว มีสภาวิชาชีพของตนเอง มีกฎหมายในการดูแลการกระทำของตัวเอง ดังนั้น ร่างกฎกระทรวงนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจักษุแพทย์ 

 

คงเหลืออยู่ 2 กลุ่มคือ ทัศนมาตร ที่เป็นสาขาที่มาใหม่ และเติบโตขึ้นทุกๆปี มีการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาหลักสูตร 6 ปี ปัจจุบันทำงานภายใต้ พรบ.ประกอบโรคศิลปะ (ตามมาตรา 31 ตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ 2554)  กับอีกกลุ่มคือ ช่างแว่นตา  ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีลักษณะการทำงานที่คาบเกี่ยวกัน คืองานด้านการแก้ไขปัญหาสายตาสั้น ยาว เอียง และสายตาชรา  แต่ในเรื่องของการมองเห็นนั้นมีอะไรที่มากไปกว่าปัญหาสายตา แต่ยังมีเรื่องของ ระบบการมองเห็นอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่นปัญหาการทำงานของกล้ามเนื้อตา ปัญหาการทำงานร่วมกันของสองตา ปัญหาการทำงานของเลนส์แก้วตา  ผมจึงได้ยกตัวอย่างสิ่งที่กฎหมายอนุญาตให้ทัศนมาตรทำได้มาแต่เดิมคือ 

 

กฎหมายปัจจุบันของทัศนมาตร 

ว่าด้วยนิยามตามกฎหมายทัศนมาตรที่ใช้อยู่ปัจจุบันเขียนไว้ว่า เป็นผู้มีสิทธิทำการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์ได้ตามเงื่อนไขดังนี้ 

  1. ตรวจสอบระบบการทำงานร่วมกันของตาทั้งสอง
  2. ตรวจสอบและทดสอบระบบการเคลื่อนไหวของดวงตา 
  3. ตรวจคัดกรองทางด้านสายตาที่ผิดปกติและเพื่อการส่งต่อแพทย์ตามความเหมาะสม 
  4. แก้ไขปัญหาสายตาโดยการจ่ายเลนส์และอุปกรณ์ช่วยในการมอง 
  5. การฝึกกล้ามเนื้อตา 
  6. การใช้สารเรืองแสงย้อมกระจกตาและยาชาชนิดหยอด 
  7. การวัดสายตาร่วมกับการใช้ยาหยอดขยายม่านตาควรอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม 

เหล่านี้คือสิทธิที่มีอยู่เดิมของทัศนมาตร ปัญหาคือช่างแว่นตาจะไปอยู่ตรงไหน หรือช่องกฎหมายไหน 

 

"ประชาชนได้อะไร"

วาทะกรรมที่ร้อนแรงที่สุดที่ทั้งสองกลุ่มนี้เอาเป็นตัวประกันคือ “กฎกระทรวงนี้...ประชาชนได้อะไร”

 

แม้ว่าผมเป็นทัศนมาตรวิชาชีพ ถือหางทัศนมาตรอยู่และพยายามทำงานด้านทัศนมาตรอย่างเต็มที่เสมอมา 

ผมตอบได้เลยว่า “ประชาชน...“ได้” ครับ ได้เลือกว่าจะใช้บริการกับใคร” ประชาชนปัจจุบัน ไม่ได้โง่และอย่าไปดูถูกสติปัญญาของประชาชนขนาดนั้น ว่าเขาจะเลือกใช้บริการกับใคร ดังนั้นให้เรื่องนี้ให้ประชาชนมีสิทธิในการเลือกว่า ต้องการใช้บริการกับใคร และถ้าเขาเลือกแล้ว นั่นหมายความเขาจะต้องรับผิดชอบในการตัดสินใจเลือกของเขา เราจึงควรเลิกเอาประชาชนเป็นตัวประกัน

 

"ใครได้ใครเสีย"

เอาคนได้ก่อน...ว่าใครจะได้ประโยชน์บ้าง

 

1.ประชาชน

บางคนงง ว่าประชาชนได้อะไร จริงๆแล้วต้องมีแต่ “เสี่ยง” เพราะอาจจะได้รับบริการที่ไม่ได้คุณภาพเท่าที่พวกเขาควรจะได้  แต่ผมบอกไว้อย่างนี้ว่า ยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร ประชาชนสมัยนี้ไม่ได้โง่ และอย่าไปดูถูกสติปัญญาประชาชนขนาดนั้น เขาฉลาดพอ และฉลาดเลือก แยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ แยกแยะได้ว่าอันไหนคำจริง อันไหนคำโฆษณา การทำโฆษณาเอาแต่เรื่องตลกไม่ได้ผลแล้ว การกินยังรู้จักเลือกเลย นับประสาอะไรกับเลือกผู้ให้บริการสายตาและระบบการมองเห็น ที่จะมาดูแลดวงตาของเขา ให้มีสุขภาพดี รวมถึงสายตาและระบบการมองเห็นของบุตรหลานที่รักของเขามีหรือที่เขาจะเอาไปเสี่ยง 

 

เหมือนกับการทำฟันข้างถนนกับช่างทำฟัน  ถามว่ามีคนไปใช้บริการกับช่างทำฟันข้างถนนไหม บอกเลยว่ามี  ถามว่ามีคนไปดัดฟันกับแม้ค้าที่ตลาดนัดไหม บอกเลยว่ามี เยอะไหม...บอกเลยว่า นิดเดียว  เพราะคนฉลาดขึ้นอย่างไรเล่า  อีกไม่นานก็ 5G แล้ว  ความลับจะไม่มีอีกต่อไป และคุณทั้งหลายจะหลอกผู้บริโภคไม่ได้อีกต่อไป 

 

ดังนั้น ประชาชน...ได้ครับ..ได้เลือกผู้ให้บริการ  ดังนั้นให้เขาได้เลือกเถอะครับ อย่าเอาเขามาเป็นตัวประกัน เขาเลือกอย่างไรก็ได้อย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องของกรรมของเวร ห้ามกันไม่ได้ คนเรามันไม่ผิดตลอดไปหรอก ให้เขาได้ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เกิดปัญญาเข้าสักวัน  แต่เราไม่มีสิทธิที่จะหมิ่นสติปัญญาของประชาชนทั่วไป 

 

2.ทัศนมาตร  

ทัศนมาตร ได้ทุกอย่าง ได้เหมือนเดิม กฎหมายปล่อยให้ทำได้ทุกอย่างตามกฎหมายเดิมอยู่แล้ว ซึ่งผมว่าแค่กฎเดิมที่ให้มานั้น ก็มากมายพอแล้ว และทัศนมาตรก็จะขยับตัวเองเกิดเป็นสาขาตาม พรฎ.ที่กำลังรอการพิจารณา เมื่อเรามีสาขา อนาคตทัศนมาตรก็จะมีสภาและนำไปสู่การมี พรบ.วิชาชีพของตัวเองในอนาคต จะเกิดความเข้มแข็งของวิชาชีพ เกิดการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัยที่กว้างขวางขึ้นและมีการผลิตจำนวนทัศนมาตรมากขึ้นทุกปี ประชาชนจะเข้าถึงการให้บริการทางด้านทัศนมาตรได้ง่ายขึ้น  จะเกิด Awearness ให้กับประชาชนว่าทัศนมาตรเป็นใครและสามารถช่วยเหลือเขาได้อย่างไร

 

ผู้บริโภคจะฉลาดขึ้นด้วยระบบการศึกษาที่ดีขึ้นเรื่อยๆและการเข้าถึงข้อมูลบนโลกอินเตอร์เนตอย่างปัจจุบัน เขาจะให้ใครที่จะดูแลตาที่มีอยู่แค่สองดวงของเขา  ก็คิดดูเอาว่าทัศนมาตรจะเดือดร้อนกับร่างกฎกระทรวงนี้ไหม  

 

แต่ก็เชื่อว่ามีเช่นกัน กับผู้ที่ 4G เข้าไม่ถึง อาจจะเข้าไม่ถึงข้อมูล ก็อาจจะ shopping around ไปเรื่อยๆ ลองผิดลองถูก แต่เมื่อไหร่ที่เขานึกถึงสุขภาพ อย่างไรเสียเขาก็ต้องมองหาคนที่เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทางมาดูแลเขา 

 

3.กลุ่มนายทุน .... ได้ฝ่ายเดียว 

เนื่องจากคุณไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่า ผลประกอบการประจำปีอยู่แล้ว ดังนั้นถ้ากฎหมายนี้ออกมาเมื่อไหร่  รับรองได้ว่า คุณจะต้องรำ่รวยขึ้นอีกหลายเท่าตัว  คุณจะขยายตัวได้อิสระ คุณจะเอาตามี ยายมา ตาอิน ตานา ตาอยู่  จับมาอบรม 180 ชม. แล้วป้อนเข้าสาขาที่คุณมี ต้นทุนบุคลากรคุณก็ต่ำ สินค้าคุณก็ถูก เพราะคุณจะเป็นเจ้าใหญ่ เป็นปลาใหญ่ ฮุบทั้งน่านน้ำ คุณจะขายถูกเพื่อฆ่าร้านแว่นตารายย่อย ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะต้นทุนต่อชิ้นงานของคุณต่ำ สายป่านคุณก็ยาว และในโลกธุรกิจแล้ว ปลาใหญ่กินปลาเล็กก็เป็นเรื่องธรรมดา ธุรกิจก็เป็นแบบนี้แหล่ะ  คุณจะเป็นร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ที่ทำลายโชว์ห่วย ด้วยสินค้าที่ถูกว่า ขายของหลากหลายกว่า ทุนหนากว่า ก็ไม่มีใครว่าอะไรเพราะคุณรวย  ถ้ายังสะใจไม่พอ คุณก็ดึงแบรนด์ chain-store ต่างประเทศเข้ามาได้อิสระ ไม่มีใครห้ามคุณ​ เพราะกฎหมายนี้เขียนโดยคุณเอง เพื่อตัวคุณเอง โลกช่างออกแบบมาเพื่อคุณอย่างแท้จริง  ได้โอกาสที่ดีแล้วครับ เดินประชาพิจารกันต่อ เดี๋ยวโลกนี้ก็เป็นของคุณแล้ว  ถ้าเสียชีวิต ก็เอาติดตัวไปโลกหน้าด้วยก็แล้วกัน  ขอให้ไปดีครับ 

 

"คนที่เดือดร้อน"

กลับมาสู่คนที่เดือดร้อนที่สุด ถ้ากฎกระทรวงนี้ออกมา  ก็คือ “ช่างแว่นตาและเถ้าแก่ร้านแว่นตา”

 

ใครได้ฟังคงตกใจ ว่าดร.ลอฟท์ มันบ้าไปแล้ว นี่มันกฎกระทรวงว่าด้วย กิจการวัดสายตาประกอบแว่น เป็นกฎหมายเพื่อร้านแว่นตา เพื่อช่างแว่นตา แล้วมันจะไปเดือดร้อนได้ยังไง ????? (ว่ะ)

 

ค่อยๆคิดตามผมก็แล้วกัน 

 

ขณะนี้ การแบ่งแยกอาชีพนั้นยังไม่ชัดเจน เพราะยังไม่มีกฎหมายมาบังคับ ช่างแว่นตากับทัศนมาตร ทำงานอยู่ในร้านแว่นตาเหมือนๆกัน ผม ดร.ลอฟท์ ก็ทำร้านแว่นตาเช่นเดียวกันกับท่าน ทุกอย่างดูกลืนๆ เนียนๆ กลมกลืนอยู่ด้วยกัน  

 

ถ้ากฎกระทรวงนี้เกิดมา มันจะเกิดการตกตะกอนแยกชั้นและเกิด contrast กันชัดเจน  เราจะไม่ดูกลมกลืนกันอีกต่อไป  คนมองเข้ามาจะเห็นได้ชัดเจนว่า ใครเป็นใคร ใครทำอะไรได้ ใครทำอะไรไม่ได้ ถ้าชัดขนาดนี้ ประชาชนเลือกไม่ถูกก็ไม่รู้จะร้องเพลงอะไรแล้ว กับยุค 4.0 ที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงบนมือถือ

 

ในขณะที่ทัศนมาตร กำลังจะเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ มีแนวทางของวิชาชีพจัดเจน สามารถสื่อสารออกไปได้เต็มปากเต็มคำ ว่าทัศนมาตรเป็นใคร ช่วยเหลือเขาได้อย่างไร 

 

แล้วคนที่อยู่ใต้ (ร่าง) กฎกระทรวงที่กำลังเร่งทำคลอดนี้ ทำอะไรได้บ้าง นอกจาก สั้น ยาว เอียง และสายตาชรา  ส่วน phoropter ที่อยู่ในร้านจะถูกหลวงยึดไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะในเครื่องมันมี prism อยู่ หรือไม่ก็เกิดอาชีพใหม่คือ “อาชีพแกะเลนส์ปริซึม maddox ใน phoropter ออก” หรือถ้าเบื่อตำรวจเข้าร้าน ก็ back to basic เลนส์เสียบ เลยจ้าาา...ดูเหมือนพัฒนา(ลง)นะ ชัดมั้ยๆ ชนะเลิศ!!!! เฆร้.... professional สุดๆ 

 

เสียที่1 : องค์ความรู้ใหม่ไม่เกิด 

องค์ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์สายตาและระบบการมองเห็นที่สั่งสมกันมาเป็นร้อยปี ทุกคนก็รู้ว่ามันมีมากมายและลึกซึ้งขนาดไหนและนับวันจะมีแต่พัฒนาขึ้น เทคโนโลยีเลนส์และกรอบแว่นก็พัฒนาให้ดีขึ้นตามองค์ความรู้ที่เพ่ิมพูนขึ้นทุกวัน สามารถช่วยแก้ปัญหาสายตาและระบบการมองเห็นที่ละเอียดและซับซ้อนขึ้น  

 

ช่างแว่นตาในปัจจุบัน มีความรู้และมีทักษะในการแก้ไขปัญหาการมองเห็นกว่าช่างในยุคสมัยแรกๆมาก มีความรู้ว่าปัญหาการมองเห็นไม่ได้มีเพียง สั้น ยาว เอียง และสายตาชรา แต่ยังมีเรื่องอย่างอีกมากที่ต้องเรียนรู้  เพื่อนผมที่เป็นช่างแว่นตาหลายคน ปัจจุบันเขาทำงานคล้ายงานที่ผมทำ ตรวจคล้ายกับที่ผมตรวจ และจ่ายเลนส์เพื่อแก้ปัญหาการมองเห็น คล้ายกับที่ผมจ่าย 

 

แต่กฎหมายเอากะลามาครอบให้ท่านทำงานได้เพียง สั้น ยาว เอียง ชรา ที่สามารถสื่อสารได้ดีเท่านั้น  เรื่องอื่นๆอย่างเกี่ยวกับระบบการมองเห็นนอกนี้เช่น binocular function เช่นจ่ายปริซึมเพื่อแก้ phoria นั้นห้ามเด็ดขาด 

 

ถ้าท่านยอมรับร่างกฎกระทรวงนี้ ท่านก็จะโดนคำสาบ โดนจองจำความรู้ที่ท่านมี ให้ทำแต่สิ่งที่เป็นพื้นฐาน phoropter คงจะไม่สามารถใช้งานได้ เว้นเสียแต่ว่า แกะเอาเลนส์ปริซึมออก เอา maddox ออก ยังไม่พอเอา slide บาง slide ใน projector ออก แล้วกลับไปทำงานแบบลูกทุ่งกับถาดเลนส์เสียบไปตลอดการ โดยไม่สามารถพัฒนาความรู้ได้อีกต่อไป

 

ถามจริงๆ ท่านไม่อยากทำมากกว่านั้นดอกหรือ มีการตรวจระบบการมองเห็นที่ท่านจะสามารถทำงานเต็มประสิทธิภาพของท่านได้  เพราะเพื่อนผมที่เป็นช่างแว่นหลายคน ที่ปัจจุบันทำเรื่องนี้อยู่ และทำได้ดีมากๆ ซึ่งผมก็เสียดายถ้าความรู้และประสบการณ์ที่เขามีนั้นต้องมาถูกแช่แข็งด้วยกฎกระทรวงนี้ 

 

เสียที่ 2 : เสียฐานผู้ใช้บริการกลุ่ม educated 

ทันทีที่ กฎกระทรวงนี้ออกมา ท่านจะเสียฐานผู้ใช้บริการที่ educated ไป เพราะเขาฉลาดเลือก เพราะคนสมัยนี้นั้น รู้เรื่องเกี่ยวกับปัญหาสายตา เลนส์ แว่นตา ไม่น้อยไปกว่าคนขายแว่น ดีไม่ดี รู้มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะความรู้นั้นมีอยู่ทั่วไป แล้วเขาก็ฉลาดขึ้น เมื่อฉลาดขึ้น เขาย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา และแน่นอนว่าเขารู้อีกว่าการมองเห็นนั้น มีมากกว่า สั้น ยาว เอียง ชรา และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขารู้ว่าท่านไม่สามารถทำงานได้มากกว่า สั้น ยาว เอียง ตอบให้ก็ได้ “เขาจะไปหาคนที่สามารถช่วยเขาได้มากกว่า” 

 

จริงอยู่ ในช่วงแรก เนื่องจากทัศนมาตรยังขาดแคลน ทัศนมาตรมีน้อย  เขาขี้เกียจเดินทาง เขาอาจจะเข้าไปรับบริการใกล้ๆบ้านก็ได้  หาสั้น ยาว เอียง และโปรโมชั่นดีๆ ก็พอ  แต่ลองคิดต่อให้ดีว่า ทัศนมาตรที่ขาดแคลน  พอนานเข้าก็จะเริ่มขาดแคลนน้อยลง และเข้าสู่ภาวะเพียงพอ นั่นหมายความว่า ทัศนมาตรจะมีคลิินิกอยู่ใกล้ร้านแว่นตาของท่าน  ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แล้วท่านจะทำอย่างไรกับผู้บริโภค 4.0  ผมทำนายว่า ท่านจะเริ่มโทษเศรษฐกิจ ว่ามันไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้  สุดท้ายท่านจะโทษกฎหมายของท่านที่แบ่งให้ช่างแว่นตากับทัศนมาตรนั้นแยกออกจากกัน  แต่ผมโทษท่านนั่นแหล่ะ ที่เป็นตัวการสนับสนุนให้เขา เพียงเพราะกังวลว่าคนจะมาแย่งหม้อข้าวท่าน ที่ไหนได้ “นกกระเรียน...กินเรียบหมดบ่อ” งามไส้หล่ะงานนี้ 

 

เสียที่ 3 : ธุรกิจท่านจะลำบากขึ้น 

เราปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้ว่าการทำงานของทัศนมาตรกับช่างแว่นตาไม่เหมือนกัน แต่ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจนั้นคล้ายๆกัน ก็คือเลนส์และกรอบแว่นตา  ซึ่ง การจ่ายเลนส์นั้นเป็นเรื่องการประกอบวิชาชีพจำเป็นต้องมีองค์ความรู้มากมาย แต่ในกฎหมายที่บังคับให้คุณต้องเป็น ง่อย แคระ แกร็น ทางความรู้เช่นนี้ มันเรื่องยากที่คุณจะสามารถพัฒนาตัวเองได้มากไปกว่านี้  ไม่สามารถให้บริการที่ซับซ้อนมากไปกว่า สั้น ยาว เอียง และ ชรา ได้  (น่าเศร้านะ...)

 

ดังนั้นถ้าท่านจะสู้เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดต่อไป สิ่งที่อาจจะดีที่สุดที่ท่านทำได้คือ ประกาศโปรโมชั่น ลด!!!! แลก!!!!! แจก!!!! แถม!!!! ลุ้นโชค!!!!!!!! จากการมาใช้บริการ”  แหม่....ให้ขนาดนี้ แถมค่าแท๊กซี่กลับบ้านไปด้วยเลยไหม ดีไม่ดีได้รถขับกลับบ้าน หรือ ได้มือถือฟรี  ด่วน! โปรโมเช่นมีจำนวนจำกัดเพียงแค่สิ้นเดือนเดือนนี้เท่านั้น  ส่วนเดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่ ประเทืองปัญญาดีแท้ประเทศไทย 

 

เอาหล่ะสมมติว่าท่านจะทำโปรโมชั่นลดราคาได้  ถามจริงๆว่าท่านจะสู้ราคากับนายทุนได้หรือเปล่า เขาสามารถทำราคาให้ถูกจนขาดทุนได้ และสามารถทนการขาดทุนได้นานเป็นปีๆ ด้วยสายป่านที่ยาวกว่า ด้วยเหตุเพียงเพราะต้องการยึดตลาด  ส่วนท่านมีอะไรไปสู้กับเขา ราคาก็สู้เขาไม่ได้  สาขาก็สู้ไม่ได้ สินค้าก็เหมือนๆเค้า อนาคตมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง แล้วถ้าคิดจะส่งทอดกิจการต่อลูกนะ  ลูกๆจะอยู่ต่อไปอย่างไร  หรือ ท่านจะส่งลูกไปเรียนทัศนมาตร แต่ถ้าท่านคิดแบบนั้นตั้งแต่วันนี้ แล้ววันนี้ท่านจะรับกฎกระทรวงนี้ทำไม ในเมื่อท่านก็สามารถทำงานอย่างทัศนมาตรได้ โดยเข้ามาอยู่ใน พรฎ.เดียวกัน 

 

เสียที่ 4 : ช่างแว่นตาลำบาก

ท่านที่เป็นช่างแว่นตา หรือ optician ที่เป็นลูกจ้างให้กับนายทุน ท่านจะไม่สามารถดีดตัวเองขึ้นไปสูงกว่าที่เป็นได้ เพราะกฎกระทรวงฉบับนี้ ยอมให้ใครก็ได้ อบรม 180 ชม. แล้วทำงานได้เหมือนท่าน และท่านก็จะเป็นอย่างที่ท่านเป็นอยู่แบบนี้ เต็มที่คือผู้จัดการร้านและมีคนพร้อมที่จะเข้ามาเสียบท่านได้ตลอดเวลา จากกฎหมายที่ปล่อยให้สามารถสร้างช่างแว่นตาเกิดใหม่ได้อิสระ 

 

และนายทุนที่ฉลาด ที่อยากยกระดับการบริการของเขา ย่อมยอมที่จะจ้างทัศนมาตรมาประจำสาขาและแน่นอนว่า ท่านจะไร้ตัวตน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกฎหมายบังคับให้ท่านทำได้แค่นั้น แม้ท่านจะบอกว่าท่านสามารถทำงานได้อย่างทัศนมาตรก็ตาม แต่กฎหมายที่ท่านยอมรับมันมาเอง สาบให้ท่านต้องเป็นแบบนี้ 

 

จังหว่ะนั้น ท่านอาจจะต้องลาออก ไปเปิดร้านแว่นตาแข่งกับร้านแว่นที่เปิดสาขามากมายคล้ายกับร้านสะดวกซื้อ มีสินค้าถูกกว่า บริการดีกว่า พูดเพราะกว่า แต่งตัวดีกว่า เซ็กซี่กว่าซ้อๆแน่นอนคอนเฟิร์ม!!! ถามจริงว่า โชว์ห่วยของท่านจะรอดได้สักกี่น้ำ ในขณะที่ทัศนมาตรมีเพ่ิมขึ้นทุกวัน 

 

พูดได้คำเดียวว่างานนี้ ...ลาก่อย...เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน เจอแต่ทางที่ท่านไม่สามารถพัฒนาศักยภาพตนเองได้ 

 

เรื่องมันจะเศร้ากว่าที่ผมพูดมานี้ ถ้าหากว่าคุณรับร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ 

 

แต่...ในเมื่อร่างมันยังไม่ออก ซึ่งอยู่กับพลังคัดค้านของพวกท่าน ว่าไม่ยอมให้มันคลอดออกมา ท่านจะได้เพื่อไม่ให้ไม่ต้องมนต์ดำคำสาบแนะนำให้ท่านคัดค้านกฎกระทรวงฉบับนี้ 

 

"บ้านหลังคาเดียวกัน" 

ท่านทั้งหลายที่เป็นช่างแว่นตาและเราทั้งหลายที่เป็นทัศนมาตร เราต่างมีกำเนิดมาจากที่เดียว เราก็ควรจะเดินด้วยกันต่อไป 

 

จากที่ได้คุยกับ ดร.ณรงค์ นายกสมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทยและจามติการประชุมที่ ม.รังสิตที่ผ่านมานั้น เราต้องการให้ช่างแว่นตาที่อยู่ในประเทศไทยนั้น เข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันคือ บ้านทัศนมาตร มีพรฎ.ประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตร เป็นเครื่องอยู่ของพวกเรา 

 

พรฎ.ประกอบโรคศิลปะนั้น เปิดให้สามารถทำงานด้านสายตาและระบบการมองเห็นให้ท่านทำได้มากกว่า  สั้น ยาว เอียง เลนส์ ท่านจะได้รับการดูแล อบรม เพิ่มพูนความรู้จากบ้านของเราและท่านทุกคนที่อยู่ในบ้านล้วนแต่เป็นหน้าเป็นตา เป็นตัวแทนในบ้านของเรา เราย่อมไม่ทอดทิ้งกันและท่านก็จะได้ทำงานเต็มประสิทธิภาพหรือความสามารถของท่านต่อไป 

 

ถ้าช่างแว่นตากับทัศนมาตรจับมือกัน 

คนที่เดือดร้อนที่สุด ถ้าช่างแว่นตากับทัศนมาตรจับมือกัน 

  1. นายทุน
    ผู้ซึ่งไม่สนใจอะไรนอกไปจาก “กำไรผลประกอบการ” จะต้องจ้าง optician ในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากการการมาขึ้นทะเบียนของช่างแว่นตาเพื่อเข้ามาอยู่ใน พรฎ.ทัศนมาตรนั้น จะทำให้ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัดทันที เพราะไม่สามารถเสก ตามี ยายมา ตาอิน ตานา และตาอยู่ ให้กลายเป็นช่างแว่นตาภายใน 180 ชั่วโมงได้ 

    ดังนั้นความรู้ ประสบการณ์ 20-30 ปีของท่าน จะไม่สูญเปล่า เพราะศักดิ์ศรีของท่านไม่ใช่ช่างแว่นทั่วไป แต่เป็นช่างแว่นตาที่มีหนังสืออนุญาตตรวจวัดสายตาใต้ พรฎ.การประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตร  ท่านจะไม่ถูกเขี่ยทิ้งจากคนใหม่ที่สามารถรับค่าตัวได้ถูกกว่าเพราะว่าพึ่งเรียนเมื่อ 180 ชั่วโมงที่แล้ว  ด้วยเหตุนี้ นายทุนจะมี cost ที่ต้องจ่ายมากขึ้น  ขยายกิจการลำบากขึ้น เพราะถ้าจะขยายได้คุณต้องมีผู้ดำเนินการ คือมีช่างแว่นตาที่มีหนังสืออนุญาตใต้ พรฎ.ทัศนมาตร
     
  2. ทุนต่างชาติ
    ดังเราจะเห็นว่ามี chain-store ต่างชาติเข้ามามากมาย มาขุดทองที่เมืองไทย และเถ้าแก่ร้านแว่นครับ ท่านสู้สายป่านราคาเขาไม่ได้หรอก ท่านลดเท่าไหร่ เขาลดได้ถูกกว่าเสมอ ในขณะที่ท่านยังข้องอาศัยของจาก supplier แต่เขาสร้างสินค้าขึ้นมาเอง ท่านจะเอาอะไรไปสู้เค้า

    แต่ถ้าพรฎ.ทัศนมาตรออกมาได้ เขาจะไม่สามารถเข้ามาได้โดยง่าย เพราะต้องมีผู้ถือหนังสืออนุญาติประกอบโรคศิลปะเป็นผู้ดำเนินการ การขยายสาขาแบบผักตบชวาไม่สนใจผู้คนจะลดคง  มนุษย์จะอยู่ร่วมโลกกันได้ผาสุขขึ้น และนั่นคือความยิ่งยืนทางวิชาชีพทัศนมาตรต่อไป
     
  3. โรงเรียนสอนแว่นตา
    โรงเรียนที่เปิดสอนช่างแว่นตา ก็อาจจะต้องเหนื่อยเพ่ิมในการปรับหลักสูตรให้ได้มาตรฐานขึ้น ก็คงแค่นั้น เพราะถ้าอุดมการณ์ของโรงเรียนคือให้นักเรียนได้ความรู้ให้ได้มากที่สุด ทำงานบริการได้ดีที่สุด ยกระดับการให้บริการในร้านแว่นตาให้ได้มาตรฐานสูงสุด  การต้องเหนื่อยเพ่ิมแค่นี้คงไม่ใช่ปัญหากระมัง 

 

สุดท้าย 

ถ้าอ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว ท่านไม่รู้สึกว่าท่านเสียหายจากกฎหมายฉบับนี้ ก็พึ่งรู้ไว้ว่า

  1. ประชาชน ... “ได้”....ได้เลือก  คน 4.0 ไม่โง่ และฉลาดเลือก และจะมีแต่ฉลาดขึ้นทุกวัน
  2. ทัศนมาตร....สบายอยู่แล้ว เดิน พรฎ.ประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตรต่อไป 
  3. กลุ่มทุน ...ร่ำรวย ขยายสาขาได้เสรี ทุบตลาดได้อิสระ จ้างตามี ยายมา ตาอยู มาวัดแว่น ขายแว่น
  4. สมาคมแว่น ...ร่ำรวย จากการเปิดคอร์สสอนช่างแว่นตา อบรม 180 ชม.  
  5. ช่างแว่น ....ซึมเศร้า ถูกจำกัดความสามารถในการทำงาน และมีคู่แข่งเป็นเด็กเมื่อวานซืน
  6. ร้านแว่นตา...มีแต่ทรงกับทรุด  เพราะสู้ราคานายทุนไม่ได้ และไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ เพราะทำได้เพียงแค่ สั้น ยาว เอียง และ ชรา และจบลงด้วยการกล่าวคำว่า “ลาก่อย”

 

วันนี้เอาเท่านี้ก่อน หวังว่าท่านทั้งหลายที่มีส่วนได้เสียกับกฎกระทรวงฉบับนี้ คงจะได้มุมมองที่ไกลขึ้น มีสติพิจารณาเรื่องนี้ได้รอบด้านมากขึ้น และถ้าท่านคิดว่าคิดมาดีแล้ว พิจารณาดีแล้ว ก็เชื่อในการติดสินใจของตัวเอง รวมถึงเตรียมรับผลของการตัดสินใจนั้นด้วยและคำว่ากฎหมายถ้าออกมาแล้วมันแก้ยาก ดังนั้นคิดให้ดีๆ 

 

สวัสดีครับ

~ดร.ลอฟท์ & ดร.แจ๊ค

 

"ตราบเท่าที่กฎกระทรวงยังไม่ออก นั่นแสดงว่าเรายังมีความหวัง อย่าท้อ และขอให้สู้ต่อไป  กระบวนการในออกกฎหมายมีอีกหลายขั้นตอน โดยเฉพาะขั้นตอนการกฤษฎีกาตรวจสอบเนื้อหากฎหมาย ด้วยพลังสามัคคีของพวกเรา สามารถช่วยกันแสดงพลังให้ร่างนี้ตกไป เพื่อทำการศึกษาใหม่เพ่ิมเติมว่า ประโยชน์ของการออกกฎหมายฉบับนี้คืออะไร