Rodenstock PRO410 & Solitaire Protect PRO 2

เรื่องโดย ดร.สมยศ เพ็งทวี O.D. (ทัศนมาตรวิชาชีพ)

ดาวน์โหลดเป็น .pdf ได้ที่ลิ้ง https://www.loftoptometry.com/pdf/Rodenstock PRO 410 - Solitaire pro2

__________________________________________________________________________________________________________________________________

บทนำ 

ดวงตานั้นเป็น 1 ใน 5 ระบบประสาทสัมผัส (ตามองเห็น จมูกดมกลิ่น หูได้ยิน ลิ้นรับรส และกายสัมผัส) ซึ่งดวงตานั้นถือว่าเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญที่สุด ที่คนรักและหวงแหนที่สุด การเรียนรู้โลกของเด็กทารก เด็กเล็ก เด็กโต ผู้ใหญ่ ล้วนเรียนรู้ด้วยดวงตามากกว่า 80%  จะมีบ้างเล็กน้อยที่การเรียนเกิดขึ้นบนอักษรเบลล์ ซึ่งเราทั้งหลายถ้าไม่จำเป็นก็คงไม่อยากที่จะเรียนด้วยวิธีนั้น  และการทำงานบนโลกใบนี้เกือบทั้งหมด ล้วนใช้ดวงตาทั้งสิ้น อย่างน้อยก็การเดินทางไปทำงาน  การเสกสรรค์งานศิลปะที่มีความงดงามอลังการนั้นก็ด้วยตาที่มองเห็นได้อย่างอ.เฉลิมชัย   อาหารที่กินแล้วอร่อยนั้นก็มีดวงตามองเห็นแล้วเกิดความน่ากิน หรือ “แม้แต่คุณที่ดูสวยได้อย่างนั้น เพราะมีผมมองอยู่” อย่างที่พี่ "บอย อิมเมจิ้น" เขาแต่เอาไว้ในเพลง "ความรัก..ความงาม" ลองไปหาฟังดูใน youtube https://www.youtube.com/Boy Imagine/ความรักความงาม

 ดังนั้นดวงตาถือว่าเกือบจะเป็นทุกสิ่งของคุณค่าในการดำรงอยู่ก็ว่าได้  งาน creative งานดีไซน์ ทุกอย่างคงไร้ค่าถ้าไม่มีดวงตาที่คอยมองอยู่ 

แต่กระนั้นก็ตาม ดวงตานั้นกลับเป็นอวัยวะท้ายๆ ที่คนให้ความสำคัญเช่นกัน  ฟังดูแล้วย้อนแย้ง เอาง่ายๆว่า กายสัมผัสหรือผิวของเรานั้น ประโยชน์แทบจะเรียกว่ามีแต่น้อยกว่าดวงตามาก  แต่มองไปทางไหนก็เจอแต่คลินิกเสริมความงาม ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่อยากมีผิวสวย หน้าใสอมชมพู มีครีมบำรุงผิวมากมายหลายแบรนด์ ราคาหลายร้อย หลายพัน ไปจนถึงหลายหมื่น เพื่อที่จะทำให้ผิวสัมผัสดูเรียบเนียนสวยงาม   จมูกซึ่งเป็นประสาทสัมผัสที่เพียงแค่รับรู้ หอมหรือเหม็น พึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ แต่คนจำนวนมากยอมลงทุนซื้อน้ำหอม ขวดเล็กๆ เอาไว้พ่นใส่ร่าง เพื่อให้ตัวหอม ขวดหลายพันจนถึงหลายหมื่น หรือแม้แต่ลิ้นที่เอาไว้รับรส ก็มีประโยชน์ลำพังเพียงเพื่ออร่อยไม่อร่อย หวาน เปรี้ยว เค็ม มัน ฝาด ทั้งที่เลยคอไปแล้วอาหารอะไรก็เหมือนๆกัน  แต่มีอาหารมากมายที่รังสรรค์ออกมา ที่ไม่ว่าแพงแค่ไหนก็มีคนกิน เช่น ไวน์ ขวดเป็นแสนก็มีคนซื้อ  หูที่เอาไว้ฟังเสียง มีหูฟังราคาหลายหมื่น มีเครื่องเสียงราคาหลายแสนหลายล้านบาท เอาไว้ฟังเสียงที่ไพเราะ แพงแค่ไหนก็มีคนยินดีที่จะจ่าย

 

แต่พอเป็นเรื่องของดวงตา เพื่อให้ตามองเห็นดีๆ แค่ 5,000  บาทบอกว่าแพงมาก แล้วไปหาซื้อแว่นตาตามตลาดนัด กรอบพร้อมเลนส์ 50-299 บาท  ซึ่งเป็นเรื่องความย้อนแย้งของมนุษย์ว่าเราเลือกที่จะทำกับสิ่งที่เรารักแบบนี้หรือ  กินแพงเท่าไหร่ไม่เคยบ่น และกินแต่ละครั้งก็อร่อยได้ตอนขณะกินนั่นแหล่ะ อยากอร่อยใหม่ก็ต้องเสียเงินใหม่  ส่วนแว่นตาทำครั้งหนึ่งอยู่ได้หลายปี กรอบแว่นดีๆตัวหนึ่งอยู่ได้มากกว่า 10 ปี แต่บอกว่าแพง หาถูกๆมาใส่ นั่นคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น  และดูไม่มากเกินไปที่ผมพูดว่า  ดวงตาเป็นอวัยวะที่รักที่สุด แต่กลับถูกกระทำมากที่สุดเช่นกัน  facebook / Instagram/Digital Device /โลก Social ปัจจุบัน เกิดไม่ได้ถ้าไม่มีตาเอาไว้ดู  ประหนึ่งเราใช้ตาอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ประสาทส่วนอื่นได้เสพสุนทรียรส  เช่นใช้สายตาทำงานเอาเป็นเอาตายเพื่อเอาเงินไปซื้อของที่กินอิ่มได้มื้อเดียว  หรือเสื้อผ้าที่อาจจะนุ่งห่มเพียงครั้งเดียว  

 

ที่ผ่านมาข้างต้น คือพูดเพื่อให้เกิดการ set priority กันใหม่ดูบ้าง ว่าอะไรควรเป็น first...second...third priority  จะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลังตอนสูญเสียการมองเห็น

 

เอาหล่ะ กลับมาสู่เรื่องที่เราจะคุยกันในวันนี้ คือเรื่อง Rodenstock PRO 410 และ Solitaire Protect PRO2  ซึ่งเป็นเลนส์เทคโนโลยีใหม่ของ RODENSTOCK ที่เข้ามาเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว  ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ขึ้นมาจากการเห็นความสำคัญของดวงตาและอยากจะปกป้องดวงตาทุกคู่ของทุกคนให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเนื่องจากประสาทสสัมผัสของดวงตานั้นรับรู้การมองเห็นจากแสงที่มากระทบ ดังนั้นในผลิตภัณฑ์รุ่นนี้จะมุ่งสู่การกรองหรือการคัดเลือกความยาวของคลื่นแสงที่จำเป็นในการมองเห็นและตัดคลื่นแสงที่เป็นอันตรายออกทั้งหมด ซึ่งวันนี้เราจะได้เรียนรู้กันว่า มันช่วยในเรื่องอะไรบ้าง แต่ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับเรื่องเกี่ยวกับแสงกันสักหน่อย 

 

แสงคืออะไร 

โลกงาม ที่เรามองเห็น ที่เรารับรู้ว่าสิ่งนั้นมีสิ่งนั้นไม่มี  ก็จากแสงอาทิตย์หรือจากกองไฟหรือจากหลอดไฟ ไปกระทบกับวัตถุที่มีรูปทรงหรือสีสันต่างๆกันแล้วเกิดเป็นพลังงานในรูปคลื่นที่มีความยาวคลื่นต่างๆกัน วิ่งผ่านชั้นบรรยากาศผ่านชั้นน้ำตา กระจกตา เลนส์แก้วตา วุ้นในตาแล้วมาโฟกัสที่จอรับภาพของเรา แล้วเกิดการรับรู้เป็นภาพในสมองของเรา 

เซลล์รับภาพ (photoreceptor cell ,Rod &Cone)

 

จอรับภาพ หรือ retina ของเราจะมีเซลล์ประสาทรับแสงชื่อว่า photorecepter cell  ซึ่งโครงสร้างเซลล์มีลักษณะพิเศษ สามารถเปลี่ยนพลังงานแสงในรูปของ photon ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า (photo-transduction) ส่งไปตามเส้นประสาทตา (optic tract) ไปยังสมองส่วนรับภาพ (visual cortex) แล้วเกิดการประมวลผลเป็นภาพขึ้นมา (visual perception)

ดวงตา รับพลังงานแสงในรูป photon แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า ส่งไปตามเส้นประสาท (optic nerve) ไปยังสมองส่วนรับภาพ (visual cortex) แล้วเกิดการรับรู้ภาพภายในสมอง

 

แสงนอกจากจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการมองเห็นแล้วยังส่งผลต่อการทำงานในระบบอื่นๆของร่างกาย โดยเฉพาะแสงที่มีความยาวคลื่นในช่วง 380 นาโนเมตร ถึง 500 นาโนเมตร ซึ่งเป็นคลื่นแสงที่ควบคุม ระบบการหลับตื่นของร่างกาย ระบบประสาทอัตโนมัติ ความจำ การหลั่งฮอร์โมน อารมณ์ และยังรักษาระบบสมดุลของร่างกายเช่น ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชดชื่น กระปี้กระเป่า มีพลัง ช่วยการมองเห็นของลานสายตา (peripheral vision) และช่วยในการรับรู้สี และช่วยให้เรามีสมาธิและกิจกรรมต่างๆในเวลากลางวัน  

แต่คลื่นแสงในช่วงนี้ก็ยังมีบางช่วงที่อาจเป็นอันตรายต่อจอประสาทตา ซึ่ง Rodenstock ได้พัฒนาเลนส์เทคโนโลยีพิเศษที่จะมาช่วยกรองอันตรายจากแสงที่อันตราย แต่ยังคงแสงที่จำเป็นต่อสมดุลของร่างกายไว้ในเลนส์​ PRO 410 

 

อันตรายของแสงจากดวงอาทิตย์ 

แสงอาทิตย์นั้นอยู่ในรูปของคลื่น ซึ่งมีทั้งคลื่นช่วงที่เรามองเห็นได้เราเรียกว่า visible light  ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 380 นาโนเมตร ไปจนถึง 780 นาโนเมตร ทำให้เกิด spectrum สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง  ส่วนคลื่นที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เรียกว่า invisible light ซึ่งเป็นช่วงความยาวคลื่นที่เซลล์รับภาพของเราไม่สามารถรับรู้คลื่นช่วงนี้ได้  ซึ่งเป็นช่วงความยาวคลื่นที่ต่ำกว่า 380 นาโนเมตร เราเรียกว่า รังสีเหนือม่วง หรือ ultra-violet หรือ UV และช่วงความยาวคลื่นที่ยาวกว่าคลื่นสีแดง ซึ่งมีความยาวมคลื่น 780 นาโนเมตร เรียกว่าแสงใต้แดง หรือ อินฟราเรด (infrared) 

รูปแสดงช่วงแสงที่เราสามารถมองเห็นได้ (visible light) และช่วงแสงที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ (invisible light)   แสงแต่ละสีนั้นเกิดขึ้นมาจากมีช่วงความยาวคลื่นที่ไม่เหมือนกัน และมีคุณสมบัติการหักเหและพลังงานที่ไม่เหมือนกัน  ยิ่งควาามยาวคลื่นสั้นพลังงานยิ่งสูง 

 

แสงเดินทางเป็นคลื่น  พลังงานของคลื่นแปรผกฝันกับความยาวคลื่น  ยิ่งความยาวคลื่นสั้นพลังงานก็จะยิ่งสูง  ในทางตรงข้ามความยาวคลื่นยาวกว่า ก็จะมีพลังงานน้อยว่า  

 

ความอันตรายของพลังงานแสงในแต่ละช่วงความยาวคลื่นนั้นไม่เหมือนกัน แสงที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าจะมีความถี่ที่สูงกว่า ทำให้มีพลังงานสูงกว่าเช่นสีม่วง-น้ำเงิน   ส่วนแสงที่มีความยาวคลื่นยาวกว่า จะมีความถี่คลื่นที่ต่ำกว่า และมีพลังงานน้อยกว่า เช่นแสงสีแดง ก็จะอันตรายน้อยกว่า 

 

Invisible Light 

รังสี ultra-violet เป็นคลื่นแสงที่ตาของเราไม่สามารถมองเห็นได้ และเป็นคลื่นที่ทำอันตรายกับดวงตาโดยตรง ซึ่งมีตั้งแต่ รังสี UVA UV-B และ UV-C โดยแบ่งตามช่วงของความยาวคลื่น ซึ่งโดยปกติ UV-C (200-280 นาโนเมตร) จะถูกกรองทิ้งออกไปจากชั้นบรรยากาศของโลก  UV-B (280-320 นาโนเมตร) ก็จะเล็ดลอดเข้าได้บางส่วน และ UVA (320-400 นาโนเมตร) นั้นเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกได้ทั้งหมด  ดังนั้นรังสียูวีที่เป็นอันตรายที่พบบนโลกก็คือ UVA และ UVB 

รูปแสดง visible light ,invisible light และการวิ่งผ่านเข้าไปในดวงตาของรังสี UVA UVB UVC 

 

เมื่อรังสีทั้งสองผ่านเข้ามาในลูกตาของเรา UVB นั้นจะถูกกรองไว้ด้วยกระจกตาและเลนส์แก้วตาไว้ทั้งหมด ส่วน UVA ก็จะถูกกรองไว้บางส่วน และก็มีบางส่วนที่ทะลุเข้าไปจนถึงจอประสาทตา ทำให้ดวงตาเกิดอันตรายจากคลื่นพลังงานสูง  

ดังนั้นการป้องกันรังสี UV นั้น ไม่ว่าจะเป็น UVA UVB UVC นั้นควรจะได้รับการป้องกันไว้ทั้งหมด เพราะ UV ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับร่างกาย เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้เรามองเห็นแล้ว ยังทำลายเเนื้อเยื่อของเราให้ได้รับอันตรายอีกด้วย เป็นต้นเหตุของ ต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก รวมถึงจอประสาทตาเสื่อม  และแน่นอนว่า ในการออกแบบเลนส์จะต้องสามารถกำจัดเอา Invisible light ออกทั้งหมด 

 

Visible Light 

แสงที่เราสามารถมองเห็นได้ ก็มีทั้งแสงพลังงานสูงและพลังงานต่ำ ซึ่งสามารถเข้าสู่ดวงตาเราได้ทั้งหมด เพราะเป็นแสงที่ร่างกายของเราต้องการนำไปใช้ในการมองเห็นภาพและประมวลผลของสีให้ถูกต้อง จึงเป็นโจทก์ค่อนข้างยากในการที่จะกรองผู้ร้ายออกจากคนดี ได้ยังไง

 

ย้อนแย้งทางเทคโนโลยี HEV 

เรื่องราวที่มีความย้อนแย้งและเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน ก็คือเรื่องราวของผลกระทบของแสงสีน้ำเงินต่อร่างกาย  ว่าจะทำให้เกิดตาเสื่อม มีความเสี่ยงกับต้อกระจก ทำให้เสี่ยงต่อจอประสาทตาเสื่อม ทั้งๆที่ปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเชนออกมายืนยันอันตรายของแสงสีน้ำเงิน 

แต่ทางวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันประโยชน์จากแสงสีน้ำเงินได้ก็คือ ช่วยในเรื่องการมองเห็นกลางคืน  เกี่ยวข้องกับการรับรู้สีที่ถูกต้องแม่นยำ เกี่ยวกับลานสายตา และเกี่ยวข้องกับนาฬิกาชีวิตที่ควบคุมวงจรการหลับตื่นของร่างกาย 

ทำให้ปัจจุบัน ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า ตกลงแสงสีนำ้เงินนั้นอันตรายกับดวงตาจริงๆไหม ซึ่งก็ต้องรอกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ UV-380 อันตรายแน่นอน  ดังนั้นเลนส์ที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาดส่วนใหญ่จะต้องผ่านมาตรฐานการป้องกัน UV ซึ่งเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมของการผลิตเลนส์  แต่ cost ของการทำเลนส์กันยูวีนั้นสูงมาก จึงเป็นไปไม่ได้เลยว่า แว่นตลาดนั้น 3 อันร้อยที่ขายตามตลาดนั้นจะสามารถกันอันตรายจากแสงยูวีได้ 

 

UV380 อันตรายแล้ว 381 ไม่อันตรายหรือ

ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือว่า จริงๆมันแค่ 380nm เท่านั้นหรือที่อันตราย แล้ว 381 nm จะอันตรายไหม ก็เลยเกิดเป็นความคิดขึ้นมาว่า จริงๆช่วงที่อันตรายมันมีมากกว่านี้ไหม  ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องคิดพิจารณาให้ดี ว่าถ้าเราจะตัดแสงพลังงานสูงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อดวงตาออกนั้น จะตัดคลื่นในช่วงสีใดทิ้งไป โดยไม่ไปกระทบประโยชน์ประโยชน์ของช่วงคลื่นแสงที่ดี และที่สำคัญ ต้องไม่ทำให้การรับรู้สีนั้นผิดเพี้ยนไป   

จากกราฟ จะเห็นว่า PRO410 นั้นสามารถ cut off คลื่นแสงพลังงานสูงที่อาจจะทำอันตรายกับดวงตาของเราได้ในช่วง 410 นาโนเมตรลงมา ในขณะที่เทคโนโลยีโค้ตติ้งพรีเมี่ยมทั่วไปนั้นจะตัดแค่ในส่วนรังสี UV 400 นาโนเมตรเท่านั้น  

 

PRO410 

จากการศึกษาพบว่า  visible light จากแสงแดด และสามารถทำอันตรายจากดวงตาของมนุษย์นั้นอยู่ในช่วง 380-410 นาโนเมตร   Rodenstock  จึงพัฒนาเลนส์ที่มีคุณสมบัติของการป้องกันรังสี UV และแสงที่มองเห็นได้แต่เป็นอันตรายที่มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 380-410 นาโนเมตร และยอมให้คลื่นสีที่จำเป็นในการนำไปประมวลผลจนเกิดการรับรู้สีนั้นเข้าไปทั้งหมด  เพื่อไม่ให้สีที่มองผ่านเลนส์นั้นเพี้ยนไปเหมือนเลนส์ Blue Block ทั่วๆไป 

 

ทำไมต้อง cut off ที่ 410 นาโนเมตร 

ย่านของคลื่นแสงที่เป็นช่วงที่คาบลูกคาบดอกระหว่างประโยชน์ที่จะได้รับกับอันตรายที่เกิดขึ้นกับความยาวคลื่นแสงย่านนี้ ว่ามีจุดตัดที่เหมาะสมที่ตรงไหนที่ให้ประโยชน์สูงสุด ส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายน้อยสุด  อันตรายน้อยสุด และสีของเลนส์นั้นสวยงามที่สุด

จากไดอะแกรมด้านบนนั้น (รูปซ้ายมือ) แสดงให้เห็นถึง การ cut off ที่ 410 นาโนเมตร นั้นเป็นจุดที่คาดว่าน่าจะเหมาะสมที่สุด ที่จะลดแสงที่คาดว่าน่าจะอันตราย และยังคงไว้ซึ่งช่วงคลื่นแสงที่เป็นประโยชน์ต่อสมดุลชีวิต  โดยจะเห็นว่าสามเหลี่ยมสีแดงอันตรายลดลงเมื่อความยาวคลื่นเพ่ิมขึ้น  ในขณะที่สามเหลี่ยมสีเขียวคือความปลอดภัยเมื่อความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องอยู่ในเงื่อนไขว่า ต้องไม่ไปรบกวนการรับรู้ภาพหรือสีสันของภาพ  ซึ่ง 410 เป็นจุดตัดที่เหมาะสมที่สุด

ส่วนรูปบนขวาแสดงถึงการตัดแสงย่านสีน้ำเงินได้นั้นจะต้องเอาเหลืองเข้าไปตัด ดังนั้นยิ่งตัดน้ำเงินมาก เลนส์จะยิ่งเหลือง แสงเข้าได้น้อยเลนส์จึงดูหมองๆดำๆ ไม่สวย และดู look cheap (ดูแล้วไม่มีราคา)

    

 ในการเข้าไปตัดคลื่นในช่วงความยาวช่วงนี้ จะต้องใช้สีเหลืองเข้าไปตัด ดังนั้นยิ่งตัดออกมามาก จะต้องใช้สีเหลืองเข้าไปตัดมาก เลนส์ก็จะเหลืองมาก ผู้สวมใส่เมื่อมองมองผ่านเลนส์ก็จะเห็นโลกนี้ติดเหลือง ๆ  นอกจากนี้การที่เลนส์ย้อมสีเข้าไปมาก แสงก็จะผ่านได้น้อยกว่า สีเลนส์ก็จะดำๆหม่นๆ ไม่สวยงาม ดูแล้ว look cheap มากๆ ดังจะเห็นว่ามีคนจำนวนมากที่มีปัญหากับการใช้เลนส์ Blue Block ว่าเป็นเลนส์ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วทำไมสีหน้าจอของคอมพิวเตอร์นั้นถึงมีสีเพี้ยนไป  ซึ่ง Rodenstock พบว่า จุดตัดที่เหมาะสมที่สุดนั้นคือ ตัดที่ 4110 นาโนเมตรนั้นให้ผลดีที่สุด ทั้งในเรื่งอของการป้องกันและความสวยความงาม 

 

ทำไมไม่ตัดที่ 420 นาโนเมตร

ในขณะที่แบรนด์เลนส์ในตลาดทั่วไปนั้น มุ่งในการ cut off ที่ 420 นาโนเมตร แต่ Rodenstock เลือกที่จะตัดที่ 410 นาโนเมตร ด้วยเหตุผลอย่างหนึ่งว่า ที่ 420 นาโนเมตรนั้น ยังมีแสงส่วนที่ดีปนอยู่มาก และที่สำคัญความสามารถในการตัดแสงในแต่ละช่วงความยาวคลื่นนั้นมีเรื่องความหนาเลนส์เข้ามาเกี่ยวข้อง หมายความว่า ในเลนส์เนื้อเดียวกันที่ความหนาต่างกัน จะให้ความสามารถในการตัดแต่ละช่วงความยาวคลื่นที่ต่างกัน 

จากการทดลองเรื่อง ความหนาของเลนส์นั้นส่งผลต่อความสามารถในการการ cut off ของ wavelenght อีกด้วย ซึ่งจากตารางเป็นการศึกษาเนื้อเลนส์ 1.6 จะเห็นว่า เลนส์หนา 2 มม. และ 1.2 มม. ที่เนื้อนั้น 1.6 สามารถ  cut off  ช่วงความยาวคลื่น 400 และ 410 ได้สูงถึง 99.9 /99.7% ตามลำดับ

ในขณะที่การ cut off ที่ช่วงความยาวอื่นนั้น มีประสิทธิภาพในการตัดน้องลงมาเช่น ที่ 420 nm นั้น cut off ได้เพียง 86.1 % 70.5% เปอร์เซนต์เท่านั้น  ดูในตารางประกอบ และนี่เป็นสาเหตุที่ Rodenstock เลือกทำเลนส์ PRO 410 กับเนื้อ 1.6 เพื่อให้การตัดแสงพลังงานสูงความจำเป็นนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

สรุป Hi-tech material PRO410 

หัวใจของเทคโนโลยี PRO410 คือต้องการป้องกันรังสีที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาคือ ultra violet ทั้ง UVA และ UVB  รวมไปถึง ป้องกันแสงพลังงานสูงที่ตาสามารถมองเห็นได้แต่อาจจะเป็นอันตรายต่อดวงตา โดยเลือกที่จะ cut off ตั้งแต่ 410 นาโนเมตรลงมา และยอมให้คลื่นที่จำเป็นตั้งแต่ 411 นาโนเมตรขึ้นไป สามารถเข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีประโยชน์สำหรับ function การทำงานของร่างกาย รวมไปถึงการรับรูปภาพ โดยไม่ทำให้การรับรู้สีนั้นผิดเพี้ยนไป ตลอดจนความสวยงามของสีเลนส์ ไม่ติดเทาเหลืองเหมือน blue block ทั่วๆไป 

สรุปก็คือ PRO410 ออกแบบมาเพื่อป้องกันอันตรายของแสงอาทิตย์ทั้งที่มองเห็นและไม่สามารถมองเห็นด้วยตา ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด 

 

Solitaire Protect PRO 2

 ผลิตภัณฑ์ในปี 2018 นอกจาก PRO410 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาที่เนื้อวัสดุในการผลิตเลนส์ (material) ส่วนอีกผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเพื่อเป็น option ในการเพ่ิมประสิทธิภาพของการป้องกันนั้น เป็นการพัฒนาในส่วนของผิวเคลือบเลนส์หรือที่เราเรียกว่า Multi-coating 

เทคโนโลยีในการเคลือบผิวของโรเด้นสต๊อกนั้น จะเรียกผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ว่า Solitaire Product ซึ่งมีออยู่ 3 แบบคือ 

  • Solitaire Protect Plus 2 (2015) 
  • Solitaire Protect Balance (2015) 
  • Solitaire Protect PRO2 (2018) 
     

Solitaire Protect PRO2 (2018) แสงสะท้อนน้อยที่สุด และ มีสีของแสงสะท้อนที่สวยงามกว่า 

Protect PRO 2 นั้นสามารถลดแสงสะท้อนลงกว่าเดิมมากถึง 60%

 

จากกราฟจะเห็นว่า Solitaire Protect PRO 2 นั้นมีแสงสะท้อนที่ผิวเลนส์เพียง 0.38 Rv (Luminous reflectance) ในขณะที่ Solitare Protect Plus 2 นั้นมีอยู่ประมาณ 1.2 Rv นั้นหมายความว่า Solitare Protect PRO2 นั้นสามารถลดแสงสะท้อนลงจาก premium coating เดิมมากถึง 60%   นั่นหมายความว่า แสงสะท้อนออกมาน้อยกว่า ก็แปลว่าแสงสามารถผ่านเข้าไปได้มากกว่าเช่นกัน  ดังนั้นความโดดเด่นที่สำคัญของ Solitaire PRO 2 คือ ความคมชัดกว่าในที่ที่มีแสงน้อยนั้นทำได้ดีกว่าเดิม 
 

Solitair Protect PRO 2  : ความสวยงามกว่า  

จากตัวอย่างการทดสอบจะ

เห็นว่า Solitare Protect PRO 2 นั้นเมื่อใส่อยู่บนใบหน้านั้น ดูสวยกว่าโค้ตติ้งแบบเดิม ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นแสงสะท้อนที่อยู่บนผิวเลนส์เลย เนื่องจากสะท้อนจากเดิมที่น้อยอยู่แล้ว แสีที่สะท้อนยังจะเป็นสี nude หรือสีผิวของคน ก็เลยยิ่งมองไม่ออกว่าใส่เลนส์อยู่  

ส่วน Solitare Protect Plus 2  นั้นโค้ตเป็นสีเขียวๆ เมื่อใส่อยู่บนใบหน้านั้นคงยังเห็นมีแสงสะท้อนสีเขียวอยู่บ้าง  ส่วนอันที่สามคือ Solitare Protect Balance 2 ซึ่งเป็นเลนส์ที่ใช้โค้ตสีน้ำเงินม่วง เพื่อตัดแสงสีนำเงิน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเลนส์ blue block ที่มีแสงสะท้อนน้อยที่สุดและสวยกว่าเลนส์ตลาด สีเพี้ยนน้อยกว่าเลนส์ตลาดแล้ว แต่เมื่อเทียบกับ PRO2 นั้นก็ยังถือว่ามีแสงสะท้อนมากกว่าอยู่หลายเท่าตัว

 

วิธีในการเลือกเพื่อใช้งาน 

ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ 2 ตัวนี้คือทั้ง PRO410 และ Solitare Protect PRO 2 นั้นมุ่งสู่การป้องกันอันตรายกันคนละอย่าง  โดย PRO 410 นั้นเน้นป้องกันอันตรายจากแสงแดด  ในขณะที่ Protect PRO2 นั้นเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันอันตายจากแสงแดดให้มากขึ้น  ในขณะที่ Protect balance 2 เน้นป้องกันอันตรายจากแสงสีน้ำเงินจากคอมพิวเตอร์ (ซึ่งอันตรายจริงหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบ รู้แต่ว่าวัดสายตาผิดแล้วให้คนไข้ใช้สายตาที่ผิดนั้นอันตรายกว่าแสงสีน้ำเงินมากมายหลายเท่านัก) 

รูปบนนั้น เป็นไดอะแกรม ที่ช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมในการนำไปใช้งาน ว่าชีวิตประจำวันของเรานั้น โดนแสงอะไรมากว่ากันระหว่าง แสงแดดกับแสงจากดิจิตอล ถ้าโดนแสงทั้งคู่ไม่มาก ก็ใช้พื้นๆอย่าง solitaire protect plus 2 ได้ แต่ถ้าค่อนไปทางแสงแดดมากกว่า ก็ใช้ PRO410+protect PRO 2 ถ้าไม่ค่อยเจอแดดก็ใช้ Solitaire Perfect Balance 2 ถ้าจะใช้ทั้งคอมพ์ลุยทั้งแดด ก็ใช้ PRO 410 + Balance 2

 

ดังนั้น ในการใช้งาน ถ้าการใช้ชีวิตไม่ได้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวี่ทั้งวันก็ให้ใช้ PRO410+Protect Plus 2  หรือ protect PRO2  ในกรณีที่ต้องการโค้ตติ้งดีๆ แสงสะท้อนน้อยๆ แสงผ่านมาก และสามารถป้องกันได้ครบถ้วน 

 

แต่ถ้าชีวิตใช้งานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน และต้องการเลนส์ที่ตัดแสงสีน้ำเงินจาก digital device และมีความเชื่อว่าแสงคอมพิวเตอร์มันจะอันตราย ก็สามารถใช้เลนส์ material ทั่วๆไป  + Solitaire Protect balance 2  หรือถ้าจะปกป้องให้ครอบจักรวาลทั้ง UV ,HEV ,Blue litght ทั้งหมดเลยก็จัดมันทั้ง PRO410 + Protect Balance 2 ไปด้วยกันเลย 
 

Lens Surface Technology 

ก่อนจะจบเรื่อง PRO 410 ขอพาทุกท่านไปรู้จักกับเทคโนโลยีการเคลือบผิวของ Rodenstock กันเสียหน่อย   

เทคโนโลยีการเคลือบผิวนั้น มีความสำคัญไม่แพ้กันกับเทคโนโลยีการออกแบบหรือการขัดโครงสร้าง เนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่าแสงจะวิ่งผ่านได้ดีแค่ไหน ผ่านได้เรียบร้อยดีหรือเปล่า หรือว่ากระจัดกระจาย ฟุ้งไปหมด และสามารถปกป้องหรือป้องกันเนื้อเลนส์ได้ดีแค่ไหน นอกจากนี้ ระยะเวลาในการป้องกันนั้นสามารถทำได้ยาวนานแค่ไหน ก็เป็นเรื่องสำคัญ

Solitaire® Product

Solitaire นั้นเป็นเชื่อทางการค้าของ Rodenstock ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการทำโค้ตต้ิงที่ผิวเลนส์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด  ซึ่งประสิทธิภาพในการป้องกันเลนส์ที่จำเป็น ที่มีอยู่ใน Premium Coating ที่เป็นพื้นฐานของโรเด้นสต๊อกคือ 

 

Solitarire Protect Plus 2 ซึ่งมีคุณสมบัติการป้องกันคือ ป้องกันรอยขีดข่วน ป้องกันรังสียูวี ลดการเกิดฝ้า ป้องกันฝุ่นเกาะ ทนทุกสภาวะอากาศ ลดการยึดเกาะของน้ำ ป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ และลดแสงสะท้อน ซึ่งสีของแสงสะท้อนจากผิวเลนส์นั้นจะเป็นสีเขียว 

 

ส่วน Solitaire Protect Balance 2  จะเป็นการ on top เทคโนโลยี blue block เข้าไป ใน solitaire protect plus 2 ทำให้แสงสะท้อนด้านผิวหน้าเป็นสีน้ำเงิน และแสงสะท้อนจากผิวหลังเป็นสีเขียว 

 

และรุ่นล่าสุดคือ Solitaire Protect PRO 2 นั้นจะเพิ่มในส่วนของการจัดระเบียบแสงให้สามารถเข้าไปได้มากขึ้นจากรุ่นปกติ ทำให้แสงสะท้อนจากผิวเลนส์นั้นลดลงสูงถึง 60% ทำให้แสงเข้าไปได้มากขึ้น จึงให้ภาพคมชัดแม้ในที่ที่มีแสงน้อย และด้วย reflect ที่สะท้อนออกมาเป็นสีผิว จึงทำให้แทบจะมองไม่เห็นว่าเป็นเลนส์ขณะสวมใส่อยู่บนใบหน้า ทำให้คนที่มองเข้ามานั้น เห็นแววตาของผู้สวมใส่ชัดเจน 

 

ทิ้งท้าย 

ก็เป็นอีกครั้งในหลายๆครั้งที่ Rodenstock พยายามคิดค้นเทคโนโลยีในการผลิตใหม่ๆ เข้าไปเพื่อยกระดับการมองเห็นของคนนั้นดีขึ้นทั้งในด้านการมองเห็น การป้องกัน และความสวยงาม  ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้บริโภคและผู้ให้บริการนั้นจะได้รับความรู้ ความเข้าใจ และความบันเทิง ไม่มากก็น้อย  ผม ดร.ลอฟท์​ขอขอบคุณแฟนคอลัมน์ทุกท่านสำหรับการติดตาม แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า

สวัสดีครับ 

Dr.Somyot Phengtavee ,O.D. (Dr.Loft)

LOFT OPTOMETRY
578 Wacharapol Rd. Bangkhen Bangkok 10220
T.0905536554
Line id : loftoptometry

 

Rodenstock PRO410+Solitair protect Pro 2
At Glance