"ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกิจการตรวจสายตาประกอบแว่น"  เพื่อคุณหรือเพื่อนายทุนให้เปิดต่อไปได้ 

เรื่องโดย ดร.ลอฟท์ 

เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2561

ดาวโหลด .pdf : https://www.icloud.com/iclouddrive/0vWUFNTRchfvNEmE8AOElcqKA


บทนำ 

เรื่องนี้ ผมเขียนขึ้นมาเพื่อให้ท่านทั้งหลายที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ มาใช้สติพิจารณากันดูว่า จริงๆแล้วคนที่ได้นั้น ได้จริงๆไหม และคนที่คิดว่าเสีย เสียอะไร  ซึ่งเป็นมุมมองในเชิงส่วนตัวของผมกับเพื่อนในกลุ่มนั่งพิจารณากันเท่านั้น และอยากจะแชร์ให้ท่านได้อ่านกัน 

 

ดังนั้น การจะอ่านบทความที่ผมเขียนนี้ จำเป็นต้องวาง "หม้อข้าว" ลงก่อนแล้วมองให้ลึกมองให้ไกลกว่าหม้อข้าว เพราะการ "หวงหม้อข้าว" จะทำให้ท่านเกิดอคติและรับสารที่ผมกำลังจะสื่อนี้ผิดพลาด 

 

ถ้าพูดไม่ต้องคิดอะไรมากมาย "กฎหมายกิจการร้านแว่นตา" ฟังผิวเผินเหมือนจะออกมาเพื่อช่วย "ช่างแว่นตาหรือร้านแว่นตา" หรือช่วยให้ท่านมีสิทธิในการทำงานมากขึ้น

 

แต่ผมอ่านหลายรอบ ผมก็ยังหาไม่เจอว่า กฎหมายฉบับนี้ ช่วยความเป็นอยู่ให้ใครดีขึ้น (ประชาชนตัดทิ้งออกไปก่อน เพราะเขาได้สิทธิในการเลือกรับบริการอยู่แล้ว ) แต่ท่านต่างหากที่ทำงานได้น้อยลง  ความรู้ของท่านจะถูกจำกัดอยู่ในกฎหมายกะลาที่ครอบผู้ที่อยู่ใต้กะลา  ทั้งๆที่ท่านสามารถทำได้มากกว่านั้น ท่านก็รู้ว่า การมองเห็นมีมากมายกว่า สั้น ยาว เอียง  และบางท่านก็ทำอยู่ ทำงานเหมือนทัศนมาตรทำ จ่ายเลนส์เหมือนที่ทัศนมาตรจ่าย ก็ไม่เห็นว่ามีใครจะไป

ทำอะไรท่าน  อยู่ๆท่านก็มาเฮโลกับคนเอากะลามาครอบความสามารถของท่าน อันนี้ผมไม่เข้าใจริงๆ 

 

ผมพิจารณาดูแล้ว ร่างกฎกระทรวงฉบับที่กำเร่งทำประชาพิจารกันอยู่ในขณะนี้  ถ้าผ่านได้ จะมีผู้ได้ส่วนที่เสียมากที่สุดก็คือ “ช่างแว่นตา และ เจ้าของร้านตาที่เป็นร้าน “stand alone” แน่นอน 

 

ส่วนทัศนมาตรไม่ได้เสียอะไร เพราะปัจจุบันทัศนมาตรก็มีกฎหมายการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรอยู่แล้ว และเมื่อทัศนมาตรมีจำนวนมากพอ เราก็จะมีคณะกรรมการวิชาชีพ และเกิดเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตร ซึ่งเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะอยู่ในกองประกอบโรคศิลป์กระทรวงสาธารณสุข  และขึ้นตอนต่อไป เมื่อทัศนมาตรมีจำนวนมากพอ ก็จะขอมีสภาเป็นของตัวเอง เช่นสภาแพทย์ศาสตร์ สภาเภสัชกร สภาพยาบาล ก็ย่อมทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องของการเติบโตของวิชาชีพในอนาคต  แต่ตอนนี้เราดูแลกันโดยมีคณะกรรมการวิชาชีพเป็นผู้ดูแล 

 

ทัศนมาตรจะดูงดงาม เพราะมีกฎหมายสาขาประกอบโรคศิลปะ คุมความประพฤติ  เมื่อประชาชนรู้จักมากเข้า มหาวิทยาลัยก็จะต้องเปิดสอนสาขาทัศนมาตรกันมากขึ้น เพื่อเร่งผลิตให้ทันต่อความต้องการ เมื่อนั้นแหล่ะ เมื่อทัศนมาตรพอเมื่อไหร่  ท่านที่อยู่ใต้กฎหมายสปาจะเดือดร้อนเพราะทุกคนในประเทศไทยรู้และยอมรับความรู้ความสามารถของทัศนมาตร และจะมีคลินิกทัศนมาตรอยู่ใกล้ๆ ร้านแว่นตาของท่าน  หลังจากนี้ไป ให้ท่านคิดเอาเองก็แล้วกัน ว่าท่านควรตัดสินใจอย่างไร ผมไม่อยากบังคับ 

 

ทางเดียวที่ยังเปิดโอกาสคือ ท่านโยกมาอยู่ฝั่ง พรฎ.ทัศนมาตร  แล้วอนาคตของท่านจะไปได้ไกลเท่ากันกับที่ผม ดร.ลอฟท์ ไปได้ เพราะท่านเป็นเพื่อนกับเรา เพื่อนจะไม่ทิ้งเพื่อน และเราจะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง และเราจะร่วมกันต้านระบบนายทุน 

 

ส่วนประชาชน  เขา... “ได้” ... “ได้มีสิทธิในการเลือกรับบริการ” ว่าจะรับจากผู้ประกอบวิชาชีพที่เป็นหมอ หรือ จะรับบริการจากร้านสปาแว่น  ก็เลือกเอา  โลก 4.0  เป็นยุคของคนที่ educated แล้ว และจะมีความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ  การ shopping around จะลดลง การมองเรื่องตาเป็นเรื่องสุขภาพก็จะเพิ่มมากขึ้น  ดังนั้นประชาชนไม่ได้เสียในกฎกระทรวงฉบับนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่มีเหยื่อบางคนที่ไม่ได้ educate  หลงเข้าไปบ้าง เราจึงเห็นว่ามีบางคนที่ยังทำฟันกับช่างทำฟัน แต่นั่นก็เป็นส่วนที่น้อยมากๆ 

 

คนที่อิ่มหมีพีมัน ที่สุดสำหรับกฎกระทรวงฉบับนี้ก็คือ เหล่านายทุน เจ้าของ chain-store  ทั้งหลาย ที่มีร้านแว่นหลายร้อย หลายพันสาขา และเหล่านักลงทุนที่กำลังจะขน chain ต่างชาติเข้ามา  ทำราคาแข่งกับร้านแว่นตา  สินค้าเยอะกว่า ทุนต่ำกว่า ขายได้ถูกกว่า ไม่ต้องสนใจเรื่องสุขภาพสายตา ยอดเข้าเป้าเป็นพอ ร้านโชว์ห่วยจะค่อยๆล้มหายตายจากไป ครั้นจะเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้ว เพราะกฎหมายที่คุณยอมรับมัน มันได้สาบคุณไว้เรียบร้อยแล้ว  และเป็นที่ชัดเจนว่า กฎหมายนี้ไม่ใช่เพื่อคุณ แต่เพื่อนายทุนได้เปิดต่อไปได้

 

เอาหล่ะ เลี่ยงไม่พูดอยู่นาน แต่ถ้ายืนดูไม่ทำอะไรเลย ก็ดูกะไรอยู่ ก็เลยขอจัดสักหน่อย เอาเว็บไซต์ตนเองเป็นประกัน ซึ่งอาจจะโดนแฮ๊ก เหมือนที่ผ่านๆมา  ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็พอเข้าใจได้ ว่าคนจะทำขนาดนั้นได้ ต้องเป็นนายทุน เงินหนาพอที่จะจ้าง hacker ได้ 

 

เอาหล่ะ เรามาเริ่มรู้ต้นตอของความขัดแย้งของเรื่องนี้กันเลยก็แล้วกัน 

 

ประวัติศาสตร์กฎหมายเกี่ยวกับการตรวจสายตาในประเทศไทย

เดิมเราไม่เคยมีกฎหมายควบคุมมาตรฐานการตรวจสายตา  การวัดสายตาประกอบแว่นนั้น เป็นการทำธุรกิจบริการอย่างหนึ่ง เหมือน “ช่างทำฟัน” ในอดีตก่อนที่จะมี “หมอฟัน" เหมือน “หมอตำแย” ก่อนที่จะมี “กุมารแพทย์พดุงครรภ์" 

 

ต่อมาเมื่อความรู้เร่ิมมากขึ้น วิทยาการต่างๆทางการแพทย์มีความเจริญมากขึ้น และเกิดองค์ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพสายตาว่า ระบบการมองเห็น ไม่ได้มีเพียงแค่ สายตาสั้น ยาว เอียง แต่มีระบบอื่นๆที่สำคัญ และบางความผิดปกตินั้นถ้าปล่อยไว้เนิ่นช้า อาจอันตรายถึงตาบอด  จึงเกิดมีการเรียนการสอนสาขาทัศนมาตรศาสตร์เกิดขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งเป็นการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา หลักสูตร 6 ปี  จากนั้นก็เริ่มมีกฎหมายเกี่ยวกับทัศนมาตรศาสตร์เกิดขึ้นมา 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
ประชาชนมีสิทธิในการเลือกว่าจะใช้บริการกับใคร และประชาชนจะต้องยอมรับผลจากการเลือกใช้บริการนั้นด้วย

 

วิวัฒนาการกฎหมายทัศนมาตรศาสตร์ 

ย้อนกลับไปเมื่อปี ๒๕๕๔  ได้เกิด พรบ.การประกอบโรศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรเกิดขึ้นตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เขียนไว้ว่า 


ประกาศกระทรวงสาธารณสุข

ฉบับบที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๕๔)

เรื่อง การอนุญาตให้บุคคลทำการประกอบโรคศิลปะ 

โดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์ (optometry) 

 

    

ด้วยในปัจจุบัน วิทยาการด้านการแพทย์ได้มีความเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ประเทศต่างๆได้พัฒนาวิชาการด้านการบำบัดโรค การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคและการฟื้นฟูสุขภาพ โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดเจ็บป่วย  ทัศนมาตรศาสตร์อำนวยประโยชน์ให้ผู้มีปัญหาด้านสายตาได้มีโอกาสรับการดูแลที่ถูกต้อง  ในต่างประเทศได้มีการยอมรับและมีกฎหมายรับรองนักทัศนมาตรให้สามารถทำการประกอบโรคศิลปะได้  ในประเทศไทยขณะนี้ยังไม่ได้มีกฎหมายรองรับทัศนมาตรศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุขจึงเห็นว่าควรกำหนดให้มีการรับรองทัศนมาตรศาสตร์เพื่อให้ประชาชนได้มีทางเลือกในการรับบริการด้านสายตาที่มีมาตรฐาน 

    

ฉะนั้น อาศัยอำนาจมาตรา ๗ และมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะ จึงออกประกาศรับรองทัศนมาตรศาสตร์ โดยให้ยื่นคำขอหนังสืออนุญาตทำการประกอบโรคศิลปะ การออกหนังสืออนุญาต เงื่อนไขการประกอบโรคศิลปะและการควบคุมการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์ดังนี้ 

    

ข้อ ๑ “ทัศนมาตร” หมายความว่า การประกอบโรคศิลปะเกี่ยวกับสายตาของมนุษย์ ได้แก่ การวัด การวินิจฉัยความผิดปกติของการมองเห็นโดยใช้เครื่องมือที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดและแก้ไขฟื้นฟูความผิดปกติของการมองเห็นโดยกรรมวิธีการใช้แว่นตา เลนส์สัมผัส และการฝึกการบริหารกล้ามเนื้อตา โดยไม่รวมถึงการแก้ไขความผิดปกติโดยการใช้ยาหรือการผ่าตัดและไม่รวมถึงการใช้เลเซอร์ชนิดต่างๆด้วย 

 

    ข้อ ๒ คุณสมบัติ” ของบุคคลที่จะขอหนังสืออนุญาตทำการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์คือ

๒.๑ เป็นบุคคลมีสัญชาติไทย

๒.๒ เป็นบุคคลที่มีความรู้ในวิชาชีพโดยได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญาทัศนมาตรศาสตร์จากสถาบันการศึกษาที่คณะกรรมการการปประกอบโรคศิลปะรับรอง 

๒.๓ เป็นบุคลที่ผ่านการสอบความรู้จากคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะแล้วตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะประกาศกำหนด    

    

ข้อ ๓  การขอหนังสืออนุญาตให้ทำการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์ ไปยื่นคำขอตามแบบที่กำหนด โดยยื่นที่กองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหนังสืออนุญาตดังกล่าวให้มีระยะเวลาสองปีและสามารถต่ออายุคราวละไม่เกินสองปี 

    

ข้อ ๔ บุคคลที่ได้รับหนังสืออนุญาตทำการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์จะต้องทำการประกอบโรคศิลปะตามมาตรา ๓๗ และต้องรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพตามมาตรา ๓๘ โดยอนุโลมและเป็นไปตามที่คณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะจะกำหนดในหนังสืออนุญาต

    

ข้อ ๕ ให้คณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติตามประกาศนี้ 

    

ข้อ ๖ หากมีปัญหาการปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้ประธานคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะเป็นผู้วินิจฉัย 

    

ข้อ ๗ ประกาศฉบับนี้ให้มีผลบังคับเมื่อพ้นเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

 

ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๖

สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 


ตัวอย่างใบอนุญาตทัศนมาตร

 

 

สรุปกฎหมายเดิมทัศนมาตร 

เป็นการให้นิยาม “ทัศมาตร” คือใคร บทบาทหน้าที่ของทัศนมาตรเป็นอย่างไร ที่มาของทัศนมาตร ความรู้ ประสบการณ์ การเรียนการสอน ตลอดจนไปถึงการได้มาซึ่งหนังสืออนุญาตให้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตร  ไปจนถึงอายุหนังสือ และต้องดำเนินการเกี่ยวกับหนังสืออนุญาต อย่างไร ซึ่งผลประโยชน์ผลก็จะไปตกอยู่ที่ประชาชนได้รับการดูแลที่ถูกต้องตามหลักทัศนมาตร 

 

เมื่อกฎหมายออกมา มหาวิทยาลัยก็จะต้องผลิตบัณฑิตสาขาทัศนมาตรศาสตร์เพ่ิมขึ้นมา จากทัศนมาตรไม่เพียงพอ ก็จะเริ่มพอ และจะพอในที่สุด  พอวันนั้นมาถึง ระบบสาธารณสุขการดูแลสายตา ก็จะทัดเทียมประเทศที่เจริญแล้ว 

 

ปัจจุบันมีการผลิตบัณฑิตสาขาทัศนมาตรศาสตร์เพ่ิมขึ้นจาก 3 มหาวิทยาลัย คือ ม.รามคำแหง ม.รังสิต และ ม.นเรศวร  ซึ่งกำลังในการผลิตในปัจจุบัน ประมาณ 100 คน/ปี และมีทัศนมาตรวิชาชาชีพเดิมอีก 300 คน ซึ่งเพียงพอที่จะยกระดับตัวเองขึ้นไปเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ 

 

เมื่อทัศนมาตรมีจำนวนมากขึ้น และพอที่จะมีสาขาเป็นของตัวเอง จึงเกิดมีการ ร่างพระราชกฤษฎีกา ขึ้นมาในเรื่อง กำหนดให้สาขาทัศนมาตรศาสตร์เป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ ซึ่งได้ทำเรื่องยื่นไปแล้ว แต่ก็มีการส่งกลับเพื่อให้มาแก้ร่างใหม่ จากความไม่เห็นด้วยของคู่กรณีคือ สมาคมนายทุนและบริษัทค้าส่งแว่นตาแห่งประเทศไทย (credit Dr.Jack)  ที่ต้องการเพิ่มเพ่ิม (๓) เข้าไปในร่าง เพื่อเปิดช่องให้เกิดกฎหมายใหม่ที่เป็นประเเด็นถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้  

 

ซึ่งจากการประชุมวิสามัญทัศนมาตรครั้งล่าสุด ทัศนมาตรมีมติเห็นตรงกันว่า เราจะไม่รับร่างฉบับแก้ไขที่ถูกบังคับให้รับฉบับนี้ เพราะเรามองไม่เห็นว่าใครจะได้ประโยชน์นอกจากนายทุน 

ในร่าง (ฉบับถูกแก้ไข) เขียนไว้ว่า


 

(ร่าง)

พระราชกฤษฎีกา

กำหนดให้สาขาทัศนมาตรเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ 

พ.ศ....

ออกให้ ณ วันที่ ..... พ.ศ.

เป็นปีที่ ...ในรัชกาลปัจจุบัน

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า 

โดยที่เป็นการสมควรกำหนดใหสาขาทัศนมาตรเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ 

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๕ (๘) มาตรา ๑๔ (๘) มาตรา ๑๙ และมาตรา ๓๓ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่๔) พ.ศ.๒๕๕๖  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ 

มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียก่า “พระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาทัศนมาตรเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.....”

มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจนุเบกษาเป็นต้นไป 

มาตรา ๓ ในระราชกฤษฎีกานี้ 

    “ทัศนมาตร” หมายความว่า การประกอบโรคศิลปะเกี่ยวข้องกับสายตาของมนุษย์เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของการมองเห็นและแก้ไขฟื้นฟูความผิดปกติของการมองเห็นด้วยกรรมวิธีการใช้แว่นตา เลนส์สัมผัส และการฝึกการบริหารกล้ามเนื้อตา โดยการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือ ยา ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศโดยกำหนดแนะนำของคณะกรรมการ แต่ไม่หมายความรวมถึง 

    (๑) การแก้ไขความผิดปกติของการมองเห็นเนื่องจากระบบประสาทตาหรือโรคทางตาที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของการหักเหแสง (รับได้)

    (๒) การแก้ไขความผิดปกติของการมองเห็นและแก้ไขฟื้นฟูความผิดปกติของการมองเห็ฯโดยาการผ่าตัดหรือการใช้เลเซอร์ชนิดต่างๆ  (รับได้)

    (๓) การวัดสายตาและการประกอบแว่นตาของช่างแว่นตา (รับไม่ได้)


เหตุที่รับไมได้ 

ประเด็นมันมาอยู่ตรงการเปิดช่อง (๓) ว่าที่พรบ.สาขาทัศนมาตรพูดมาทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการวัดสายตาประกอบแว่นในร้านแว่น ประเด็นคือ จะเปิดช่องนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อใคร  ประชาชนก็ไม่น่าใช่  จะเพื่อช่างแว่นตาก็ไม่น่าใช่  เพื่อร้านแว่นเถ้าแก่ก็ไม่ใช่  เห็นเหลือแต่นายทุนที่ต้องการดึง chain-store เข้ามาในประเทศ 

 

เร่งคลอดก่อนกำหนดเพราะความกลัว

จริงๆ เราเข้าใจอยู่ว่า มีนายทุน กลัว พรบ.การประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตร ที่เป็นการบังคับบุคคลผู้ให้บริการ ถ้าทัศนมาตรและช่างแว่นตาเข้าไปอยู่ใต้พรบ.การประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตรแล้ว   ทรัพยากรบุคคลจะมีอยู่อย่างจำกัดทันที ช่างแว่นตาเกิดใหม่ไม่ได้  จะมีแต่ทัศนมาตรวิชาชีพที่เกิดใหม่เพ่ิมขึ้นทุกปี และกลุ่มทัศนมาตรก็จะมีคุณกรรมการวิชาชีพทัศนมาตรที่มาคอยควบคุมคุณธรรมจริยธรรม มาตรฐาน การศึกษา ทิศทางของวิชาชีพ รวมทั้งดูแลมาตรฐานของสถานพยาบาลที่อยู่ในการดูแลของคณะกรรมการวิชาชีพทัศนมาตร แน่นอนว่า นายทุน chain-store จะต้องจ้างช่างแว่นตาที่ถือหนังสืออนุญาตทัศนมาตร ด้วยค่าตัวที่แพงขึ้น และการทำโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม ดั๊มราคานั้นทำได้ยากขึ้น เพราะถูกควบคุมความประพฤติโดยคณะกรรมการวิชาชีพ

 

เรามาดูต่อไปว่า ที่พูดมานี่จริงไหม

 

พอเกิดมีการเปิด (๓) ขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยกิจกรรมเดินสายทำประชาพิจารณ์ร่าง กฎกระทรวง กำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ โดยขายฝันว่าจะได้สิทธิอย่างนุ้นอย่างนี้ จริงๆเป็นการริดรอนสิทธิ์ในการทำงานด้วยซ้ำ แต่ความกลัวและหวาดระแวงมันบังจนมองอะไรได้ไม่ไกล

 

ย้อนกลับไปดูกฎหมาย “สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ” กันสักหน่อยว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร  ทำถึงใช้คำว่า กำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ แล้วปัจจุบันสถานประกอบการเพื่อสุขภาพเดิมมีกิจการอะไรอยู่ 

 

กำเนิดสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ 

ย้อนกลับไปเมื่อปี ๒๕๕๙  เกิด “พรบ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ” ขึ้นมา โดยมีเนื้อหาของ พรบ. เขียนไว้ว่า 

    มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

 

“สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ” หมายความว่า สถานที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อดําเนินกิจการ ดังต่อไปนี้ 

    

(๑) กิจการสปา อันได้แก่บริการที่เกี่ยวกับการดูแลและเสริมสร้างสุขภาพโดยวิธีการบําบัดด้วยน้ําและการนวดร่างกายเป็นหลัก ประกอบกับบริการอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวงอีกอย่างน้อยสามอย่าง เว้นแต่เป็นการดําเนินการในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล หรือการอาบน้ํา นวด หรืออบตัวที่เป็นการให้บริการในสถานอาบน้ํา นวด หรือ อบ ตัวตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

  

 (๒) กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงามเว้นแต่การนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม ในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลหรือในหน่วยบริการสาธารณสุขของหน่วยงานของรัฐ หรือการนวดที่เป็นการให้บริการในสถานอาบน้ํา นวด หรืออบตัวตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

 

จุดประสงค์ที่ต้องสร้างพรบ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ คือ “ป้องกันการค้าประเวณีแอบแฝงในธุรกิจสปา” จากเหตุผลของการต้องมี พรบ.ฉบับนี้คือ 

(อ้างอิงที่มา เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๓๐ ก ราชกิจจานุเบกษา ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙)

 

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เป็นกิจการด้านบริการที่สร้างงานและรายได้แก่ประเทศเป็นจํานวนมาก และเป็นกิจการที่ได้รับความเชื่อมั่น จากผู้รับบริการท้ังชาวไทยและชาวต่างประเทศมายาวนาน จึงมีผู้ประกอบกิจการสถานประกอบการเพ่ือสุขภาพ เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี 

 

แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายกํากับดูแลการดําเนินกิจการนี้เป็นการเฉพาะ ผู้ประกอบกิจการ ผู้ดําเนินการ และผู้ให้บริการจํานวนมากขาดความรู้และทักษะในการประกอบกิจการ และการให้บริการของ สถานประกอบการเพ่ือสุขภาพส่วนใหญ่ไม่ได้มาตรฐานและส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ ร่างกาย หรือจิตใจ ของผู้รับบริการ 

 

ประกอบกับมีผู้ใช้คําว่าสถานประกอบการเพื่อสุขภาพเพื่อประกอบกิจการแฝงอย่างอื่น (อาบ อบ นวด) อันส่ง ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้รับบริการชาวไทยและชาวต่างประเทศท่ีมีต่อกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ 

 

สมควรมีกฎหมายที่กํากับดูแลการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อให้ การดําเนินกิจการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีมาตรฐานอันเป็นการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนและคุ้มครองผู้บริโภค จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

 

    โดยกำหนดคุณสมบัติของผู้รับหนังสืออนุญาต

    มาตรา ๑๓ ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพต้องมีอายุ ไม่ต่ํากว่ายี่สิบปีบริบูรณ์และไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

    (๑) เป็นบุคคลล้มละลาย

    (๒) เป็นบุคคลวิกลจริต คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

    (๓) เป็นผู้เคยต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่าป็นผู้กระทําผิดในความผิดเกี่ยวกับเพศตามประมวล

กฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี

    (๔) เป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรคติดต่ออันเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคพิษสุราเรื้อรัง หรือติดยาเสพติด ให้โทษ

    (๕) เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ

    (๖) เป็นผู้เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ และยังไม่พ้น กําหนดสองปีนับถึงวันยื่นคําขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ

(อ้างอิง เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๓๐ ก ราชกิจจานุเบกษา ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙)

ท่านที่ต้องการศึกษา พรบ.นี้โดยละเอียดเข้าไปอ่านได้จากลิ้งค์ที่แนบมา http://library2.parliament.go.th/giventake/content_nla2557/law30-310359-10.pdf 


สรุปได้ว่า

    พรบ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ นั้นเกิดขึ้นมาเพื่อควบคุมกิจการ สปา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการซื้อขายประเวณีภายในสปา ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับร้านแว่นตา เพราะว่ายังไม่เคยมีเรื่องการค้าประเวณีเกิดขึ้นในร้านแว่นตา และโลกเขาก็เห็นพ้องว่าระบบการมองเห็นเป็นเรื่องการประกอบโรคศิลปะ ไม่เหมือนนวดสปา  แล้วจะออกกฎหมายแบบนี้มาทำไม

 

ทีนี้ มาดูการจับแพะชนแกะ โดยมีความพยายามจะสร้างกฎหมายใหม่ และไปซ้อนทับกฎหมายทัศนมาตรที่มีอยู่เดิม และทำให้เป็นกฎหมายที่ ตัด option ออก  ทำเป็นรถยนต์ไปได้ ลด option ลด value เกิดเป็นการสร้างตลาด Eco ขึ้นมา  ทั้งๆที่ร้านแว่นตาเขาก็อยู่ของเขาดีๆ  ซึ่งเราไปดูกันว่า ร่างที่กำลังเดินประชาพิจารณ์นี้เป็นอย่างไร 

 


ร่างกฎกระทรวง 

กำหนดกิจการอื่น(นอกจากนวด)ในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ 

ฉบับที่ ... พ.ศ....

    อาศัยอำนาจมาตราความในมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง และ (๓) ของบทนิยามคำว่า “สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ” ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.๒๕๕๙  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกกฎกระทรวงไว้ โดยให้กิจการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นเป็นกิจการอื่น(นอกจากนวด)ในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ 

 

    “กิจการตรวจวัดสายตาประกอบแว่น” หมายถึง บริการที่เกี่ยวกับการดูแลสายตาของมนุษย์ โดยใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ผู้อนุญาตประกาศกำหนดเพื่อหาความผิดปกติของการมองเห็นที่เกิดจากการหักเหของแสงที่เป็นสาเหตุของปัญหา สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือภาวะสายตาชรา และแก้ไขดูแลโดยการใช้แว่นตาแก่ผู้รับบริการที่สามารถสื่อสารได้ดีเท่านั้น เว้นแต่เป็นการดำเนินการในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลหรือการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะหรือการการประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม 

 

ให้ ณ วันที่ ..............

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 


 

วิเคราะห์กฎหมายฉบับนี้ ว่าออกมาเพื่อใคร 

    การออกกฎหมายที่ซ้อนทับกฎหมายทัศนมาตรอย่างนี้  ถ้าจะอ้างว่าเพื่อประชาชนนั้น ต่อให้อมพระประธานในโบสถ์วัดอรุณ มาพูดก็ไม่มีใครเขาเชื่อ  หรือถ้าจะอ้างว่าทัศนมาตรมันยังมีไม่พอ ก็คงไม่ใช่ข้ออ้าง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น คุณต้องไม่ออกกฎหมายแบบนี้ อยู่เฉยๆ  ให้ พรฎ.การประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตร ออกมา เราก็มาอยู่ด้วยกัน ภายใต้กฎหมายเดียวกัน มหาลัยจะเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีสาขาทัศนมาตร ก็จะเปิดกันมากขึ้น เราก็จะได้บัณฑิตทัศนมาตรกันมากขึ้น ประเทศไทยก็จะพ้นจากการเป็นโลกที่สามในเรื่องการดูแลสายตา อายเขาไหมถามจริง ประกาศปาวๆๆ ว่า 4.0 แต่การกระทำแบบนี้ มัน 0.4 ชัดๆ 

 

คนปัจจุบัน ทั้งโลกนี้ เขารู้มาหลายร้อยปีแล้วว่า ปัญหาการมองเห็น ไม่ได้มีแค่สั้น ยาว เอียง หรือสายตาคนชรา แต่กฎหมายนี้กำหนดให้กิจการร้านแว่นตา ทำเพียงเท่านี้  ช่างแว่นตาทำได้เท่านี้  ขายคอนแทคเลนส์ก็ผิดแล้ว  เรายังจะอยากจะรับไว้อีกหรือ ตื่นกันได้แล้ว 

 

ยังไม่พอ เรามาดูการกำหนดคุณสมบัติของผู้ให้บริการในกิจการร้านแว่นตา  

 

แม้ว่าจะมีการเดินตีกลองร้องป่าว ทำประชาพิจารณ์ ร่างกฎกระทรวงกิจการร้านแว่นตาตามภูมิภาพต่างๆ กันให้แซดแล้ว พร้อมกับคำการันตีว่าจะให้เป็นของขวัญของชาวแว่นตาในวันปีใหม่ว่าออกแน่นอน  ช่างแว่นตาเตรียมดีใจได้  ซึ่งผมไม่รู้ว่า ถ้าออกมาอย่างนั้นจริงๆ ช่างแว่นตาควรจะดีใจหรือเสียใจ ซึ่งเดี๋ยวจะว่ากันต่อไป  

 

แต่กฎหมายจะออกโท่งๆมาแล้ว  แต่ขอโทษนะ คุณสมบัติผู้ที่จะให้บริการในร้านแว่นตานั้น ยังไม่กำหนดเลยว่าจะต้องจบหลักสูตรอะไรมา เบื้องต้นเขียนกันเขียนไว้ 180ชม. (ในขณะ ทัศนมาตรเรียน 6ปี ในมหาวิทยาลัยมีการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ)  ส่วนจะเรียนที่ไหนนั้น ยังไม่ได้คิด แต่ทัศนมาตรเขามีสถาบันการศึกษาที่รองรับด้วยระบบอุดมศึกษาเรียนในมหาวิทยาลัยมานานเกือบ 20 ปีแล้วนะจ่ะ

 

โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีวุฒิบัตรการศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 6 ถ้วน   แต่ได้ข่าวว่า กำลังต่อรองให้เหลือ มัธยมศึกษาปีที 3 ถ้วน  ฟังแล้วตกใจนะ  ตกลง ตามี ตามี ตาอยู่ ใครก็ได้ ที่มีความรู้ระดับมัธยมศึกษาปีที 3 ถ้าอยากตรวจสายตา ให้อบรม 180 ชม. สามารถทำงานกับดวงตามนุษย์ได้  (ขำ)

 

และแถอยู่เรื่องเดียวว่า ทัศนมาตร มันยังมีไม่พอ ไม่พอก็สร้างกันซี  จะออกกฎหมายแบบนี้มาทำไม 

 

ช่างแว่นตาได้อะไร 

ถ้ากฎหมายฉบับนี้ออกมา ช่างแว่นตาได้อย่างเดียว...คือได้ทำใจ และคนที่จะเจ็บปวดที่สุดนั้น จะเป็นช่างแว่นตา ทั้งที่ทำงานให้กับร้านแว่น และคนที่ทำกิจการของตัวเอง  คุณจะคือชั้นสองตลอดไป และจะไม่สามารถกลับมาอยู่ในบ้านทัศนมาตรได้อีกครั้ง เพราะมันสายเกินไป  ขณะที่เราทำงานกันอยู่ปัจจุบันนี้ ช่างแว่นตากับทัศนมาตรเราต่างก็ทำงานร่วมกันอยู่ในร้านแว่นตา ไม่ได้แยกกันชัดเจนนักว่าใครเป็นใคร เหมือนโคลนที่กวนอยู่ในน้ำ มันก็ขุ่นนิดหน่อย และก็เนียนๆ กลืนๆกันไป 

 

 

แต่ถ้ากฏหมายนี้ออก  มันจะเป็นตัวกรองโคลนออกจากน้ำได้เป็นอย่างดี  โคลนจะเป็นโคลนชัดเจน น้ำจะเป็นน้ำสะอาดชัดเจน และจะสะอาบบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเพราะเรามีกรรมการวิชาชีพในการขัดเกลาให้วิชาชีพงดงาม  องค์กรจะยิ่งใหญ่ ประชาชนจะรู้จัก และเขาไม่สับสนอีกต่อไปว่าเขาจะใช้บริการกับใคร  ทั้งๆที่ในโคลนนั้น มีเพชรซ่อนอยู่มากมาย เพื่อนๆช่างแว่นตาที่ผมรู้จักเก่งๆนั้นมีหลายคน แลกเปลี่ยนความรู้กันตลอด และทำงานร่วมกันไป  แต่กฎหมายฉบับนี้ จะมายึด ดาบ ยึดอาวุธ แล้วให้ทำ สั้น ยาว เอียง แค่นั้น  กลายเป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถไปโดยปริยาย 

 

ส่วนท่านจะเสียอะไรนั้น เดี๋ยวผมจะชี้แจงให้ฟังในตอนต่อไป ไม่เกินพรุ่งนี้  วันนี้เอาเท่านี้ก่อน  

 

ทิ้งท้าย 

ผมไม่อยากจะชี้นำ หรือบังคับให้ท่านรับหรือค้านร่าง แต่ชี้ให้เห็นว่า ท่านจะได้อะไร จะเสียอะไร ถ้าท่านรับร่างกฎกระทรวงฉบับนี้  และจะเป็นท่านทั้งหลาย ที่เป็นช่างแว่นตา ที่จะต้องเสียใจตลอดไป 

บ้านทัศนมาตร ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าร่วมวิชาชีพเสมอ 

สวัสดีครับ 

ดร.ลอฟท์​